All Posts

Archives

  • Home
  • สารคดี

สู้ดิวะ

นี่คืองานเขียนกอบกู้ความหวังและสร้างพลังใจให้ตนเอง ของนายแพทย์หนุ่มอนาคตไกล  ซึ่งตรวจพบมะเร็งระยะสุดท้ายในร่างกาย คือความจริงแห่งชีวิตของนายแพทย์หนุ่มที่ต้องเผชิญกับโรคร้ายโดยไม่คาดคิดมาก่อน แต่กลับบันทึกถึงช่วงเวลาเหล่านั้นด้วยการมองโลกเชิงบวก จึงมีคุณค่า เป็นตัวอย่างของการเข้าใจสัจธรรมเข้าใจชีวิตและยอมรับความเป็นจริง ด้วยลีลาภาษาเรียบง่ายแต่ชวนอ่าน

สถาปัตย์-สถาปนา : การ(เมือง)ดีไซน์พื้นที่ และความนัยสถาปัตยกรรม

หนังสือเล่มนี้ชวนผู้อ่านขบคิดถึงเรื่องราวของ ‘เมือง’ ที่เราอาศัยอยู่ ว่าการออกแบบพื้นที่และสถาปัตยกรรมต่าง ๆ ของเมืองนั้น มีความนัยอะไรซ่อนอยู่บ้าง ผู้เขียนชวนเราพิจารณาความสัมพันธ์เชิงอำนาจในมิติต่างๆ โดยเฉพาะอำนาจรัฐ ที่ส่งผลต่อผู้อยู่อาศัยในเมือง โดยใช้สำนวนภาษาเรียบง่ายและอ่านสนุก

โลก/สลับ/สี/ ชนินทร์ ชมะโชติ

ชนินทร์ ชมะโชติ คือผู้บุกเบิกรายการสารคดีทางโทรทัศน์ในสังคมไทยเป็นคนแรกมาตลอด ๔๐ ปี รายการที่เขาร่วมสร้างสรรค์ล้วนแต่คุ้นหูคนไทย เช่น รายการโลกสลับสี ทะเลไทย ฯลฯ ประสบการณ์ในการทำ สารคดีของเขาจึงลึกซึ้ง และถ่ายทอดออกมาเป็นตัวหนังสือได้อย่างน่าติดตาม และชวนอ่านยิ่ง

ปีสุดท้ายระหว่างพ่อกับลูกชาย

จับประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างลูกชายกับพ่อในวาระสุดท้าย มานำเสนอเป็นสารคดีชีวิตได้อย่างลึกซึ้ง  กินใจ สะท้อนความรู้สึกนึกคิดจากก้นบึ้งของหัวใจลูกผู้ชายที่มีต่อบิดาบังเกิดเกล้าในบั้นปลายของชีวิต

ข้างหลังภาพ 14 ตุลาฯ : จากระบอบปฏิวัติ ของเผด็จการสู่การปฏิวัติของประชาชน

ให้ความรู้ความเข้าใจถึงเบื้องหน้าเบื้องหลังเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์การเมืองไทย ได้แก่  เหตุการณ์เมื่อวันที่ ๑๔ ตุลาคม  พ.ศ. ๒๕๑๖ และวันที่ ๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๙ โดยให้มุมมองเชิงลึกที่หนักแน่นไปด้วยข้อมูลข่าวสาร  ผ่านการศึกษาค้นคว้าที่ละเอียดลออ ด้วยหลักฐานเอกสารการสัมภาษณ์เล่าเรื่องภาพและข่าวในสื่อมวลชน  โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์และนิตยสาร สะท้อนบทบาทสื่อในการบันทึกประวัติศาสตร์อย่างชัดเจน

Rainbowlogy ศาสตร์สีรุ้ง

หนังสือเล่มนี้ถ่ายทอดเรื่องราวความหลากหลายทางเพศที่โดยเนื้อแท้แล้วเป็นเรื่องซับซ้อน ให้เข้าใจ ง่ายด้วยสำนวนภาษาที่ตรงไปตรงมาและสนุกสนาน ผ่านประสบการณ์ตรงของผู้เขียนที่มีความเข้าใจ อย่างลึกซึ้ง ผู้อ่านจะได้เปิดโลกไปกับความสัมพันธ์หลากรูปหลายแบบของเพศต่าง ๆ ที่เคยเป็นความลึกลับ ให้กระจ่างแจ้งในความเข้าใจ คณะกรรมการตัดสินจึงมีมติให้ Rainbowlogy ศาสตร์สีรุ้ง ของ สิรภพ แก้วมาก  ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ ๒  รางวัลเซเว่นบุ๊คอวอร์ด  ประเภทสารคดี  ประจำปีพุทธศักราช ๒๕๖๗

543 BC ปวงเมธีแห่งอารยกาล

จับประเด็นนำเสนอได้คมคาย กับการค้นคว้าชีวิตของเหล่านักปราชญ์ที่มีชีวิตในห้วงยาม ๕๔๓ ปีก่อนคริสตกาล อันเป็นช่วงเวลาที่ทั่วโลกรุ่มรวยด้วยเหล่านักปราชญ์ ทั้งฟากตะวันออกและตะวันตก ผู้เขียนนำเสนอผ่านสำนวนภาษาที่เข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน แต่ผ่านการค้นคว้ามาอย่างละเอียด เนื้อหาจึงน่าติดตาม ชวนอ่าน ชวนเพลิดเพลินไปกับหลักปรัชญาของเหล่านักคิดนักปราชญ์คนสำคัญของโลก คณะกรรมการตัดสินจึงมีมติให้ 543 BC ปวงเมธีแห่งอารยกาล ของ นำชัย ชีววิวรรธน์  ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ ๑  รางวัลเซเว่นบุ๊คอวอร์ด  ประเภทสารคดี  ประจำปีพุทธศักราช ๒๕๖๗

อีสานปีดอกเอนอ้าบาน

บันทึกประวัติศาสตร์สามัญชน นำเสนอความทรงจำอันงดงามในวัยเยาว์ของผู้เขียน กับชีวิตผู้คนบนผืนแผ่นดินอีสาน ตั้งแต่ก่อนและหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ เนื้อหาเปี่ยมคุณค่า ให้ความรู้ความเป็นไปทางการเมือง เศรษฐกิจ คู่ขนานกับความเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรม ประเพณี จารีตความเชื่อ ถ่ายทอดจากความทรงจำและประสบการณ์จริงของผู้เขียนผ่านวรรณศิลป์สละสลวย ร้อยเรียงด้วยข้อเท็จจริงที่หนักแน่นน่าอ่าน ให้คติแง่คิดเป็นแบบอย่างการดำเนินชีวิตที่มีความสุขและมีคุณค่า คณะกรรมการตัดสินจึงมีมติให้ อีสานปีดอกเอนอ้าบาน ของ นิคม  วรรณราชู ได้รับรางวัลชนะเลิศ รางวัลเซเว่นบุ๊คอวอร์ด  ประเภทสารคดี ประจำปีพุทธศักราช ๒๕๖๗

ERASMUS GENERATION

คนจำนวนมากเป็นนักเรียนทุนที่ได้เดินทางไปเรียนต่อในต่างประเทศ หนังสือเล่มนี้ก็เล่าถึงประสบการณ์เช่นนั้น แต่ทุนอีราสมุสแตกต่างจากทุนอื่น ตรงที่ผู้ได้รับทุนสามารถเลือกเดินทางตระเวนไปได้ในหลายประเทศเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่แตกต่างกันออกไป ผู้เขียนบอกเล่าถึงประสบการณ์ที่ได้พบเห็นในหลายประเทศ หลากวัฒนธรรม ด้วยสำนวนภาษาเรียบง่ายแต่จูงใจ  

โปรดโอบกอดมนุษย์ลูก

คำถามที่ว่า เราควรเลี้ยงลูกอย่างไร เป็นคำถามที่เกิดขึ้นทุกยุคทุกสมัย หนังสือเล่มนี้เป็นคำแนะนำจากแม่คนหนึ่งถึงแม่และผู้ปกครองคนอื่น ๆ ในยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป เราต้องยอมรับว่า ห้วงเวลานี้คือห้วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านขนานใหญ่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ทุกสิ่งเปลี่ยนไป การเลี้ยงลูกก็เปลี่ยนไปด้วย ผู้เขียนเล่าประสบการณ์ของตัวเองและของคนอื่น ๆ ที่ได้พบเห็นด้วยภาษาที่งดงามและมีมุมมองที่แปลกใหม่แต่ลุ่มลึก  

“จากศึกบางกุ้งถึงศึกอะแซหวุ่นกี้ : เผยโฉมยุทธศาสตร์พม่ารบไทยยุคธนบุรี”

หนังสือเล่มนี้นำเสนอแง่มุมในประวัติศาสตร์การทหารในยุคที่ไม่ค่อยมีใครกล่าวถึงมากนัก นั่นคือยุคของสมเด็จพระเจ้าตากสิน โดยฉายภาพการหยั่งเชิงและประลองกำลังกันระหว่างพม่าและไทย ในฐานะของกรุงอังวะและกรุงธนบุรี ทำให้เกิดสงครามระหว่างกันมากถึง ๑๕ ครั้ง ผู้เขียนได้แยกแยะศึกที่ว่ามานี้ออกเป็นรูปแบบต่าง ๆ และวิเคราะห์การศึกนับตั้งแต่ครั้งแรกที่บางกุ้ง กระทั่งถึงครั้งสุดท้ายในศึก อะแซหวุ่นกี้ ด้วยหลักฐานที่หนักแน่นและฉายภาพลึกไปถึงการเมืองในระดับภูมิภาคด้วย  

ทักษะความสุข

หนังสือเล่มนี้นำเสนอแง่คิดและมุมมองต่อโลกและสังคมรอบด้าน ที่จะสร้างสุขให้ผู้คนทั่วไปได้ไม่ยาก ผู้เขียนรวบรวมข้อมูลจากงานวิจัยในต่างประเทศ มาผสมผสานกับประสบการณ์ส่วนตัวได้อย่างกลมกลืน จึงมีคุณค่าในทางความคิด การดำเนินชีวิต ทัศนะในการมองโลกตามความเป็นจริง ทั้งที่เป็นและควรจะเป็น รวมถึงการดำรงตน ความรักความเมตตา ความกรุณา  ความสุขแท้จริงที่เกิดจากการให้ ความเสียสละ  ความพอเพียง ไม่เห็นแก่ตัว ลีลาการนำเสนออ้างอิงแนวคิดของนักคิดทั้งไทยและสากลมาอธิบายสนับสนุนได้อย่างน่าเชื่อถือ ด้วยสำนวนความเรียงที่มีลีลาน่าอ่าน เพลิดเพลิน เข้าใจง่าย ประกอบตัวอย่างจากประสบการณ์จริงของผู้เขียนและบุคคลที่มีชื่อเสียง เขียนได้อย่างมีอรรถรส ภาษาสละสลวย อ่านสบาย และงานเขียนที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับคนอ่านได้อย่างดี คณะกรรมการตัดสินจึงมีมติให้ “ทักษะความสุข”  ของ นิ้วกลม ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ ๒  รางวัลเซเว่นบุ๊คอวอร์ด ประเภทสารคดี ประจำปีพุทธศักราช ๒๕๖๔

ให้โลกทั้งหลายเขาลือ : “เสด็จเตี่ย” กรมหลวงชุมพรฯ

สารคดีประวัติชีวิตราชนิกุลเคยมีผู้เขียนไว้หลายโอกาส แต่ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้สร้างงานสารคดีจากการสืบค้นจากเอกสารจำนวนมาก และนำมาเรียบเรียงได้อย่างน่าสนใจ และสามารถเสนอมุมมอง  ใหม่ ๆ ได้ แม้เจ้าของชีวประวัติ คือ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ จะได้รับความเคารพสักการะจากคนไทยเยี่ยงเทพที่มีความศักดิ์สิทธิ์ ทว่าผู้เขียนมุ่งถวายคืนความเป็นมนุษย์ โดยนำเสนอข้อมูลรอบด้านในพระชนม์ชีพ ทำให้ผู้อ่านได้รับความรู้ ความเพลิดเพลิน และที่สำคัญคือได้ความเข้าใจว่าเหตุใดพระองค์จึงได้รับการนับถือประหนึ่งเทพศักดิ์สิทธิ์ ผ่านการศึกษาข้อมูลหลักฐานเอกสารทางวิชาการ แต่นำเสนอด้วยลีลาที่มีเสน่ห์ ชวนติดตาม คณะกรรมการตัดสินจึงมีมติให้ “ให้โลกทั้งหลายเขาลือ  : “เสด็จเตี่ย” กรมหลวงชุมพรฯ” ของ ศรัณย์ ทองปาน  ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ ๑ รางวัลเซเว่นบุ๊คอวอร์ด ประเภทสารคดี ประจำปีพุทธศักราช ๒๕๖๔

ลมพัดมิรู้ล่วงหน้า : จารึกโรงสี ลูกจีนโพ้นทะเล

ลมพัดมิรู้ล่วงหน้า : จารึกโรงสี ลูกจีนโพ้นทะเล  เป็นงานเขียนประวัติชีวิตของบุพการีที่หนักแน่นด้วยข้อมูล จากการลงพื้นที่ สัมภาษณ์บุคคล และค้นคว้าเอกสาร มานำเสนออย่างมีชั้นเชิงทางวรรณศิลป์ เนื้อหามีคุณค่า ให้ทั้งความรู้ทางประวัติศาสตร์จากคำบอกเล่าและการค้นคว้าหลักฐานอ้างอิงเชิงวิชาการ ประวัติศาสตร์ชุมชน ท้องถิ่น ชาติพันธุ์ สารคดีชีวประวัติของสามัญชนที่ละเอียดและทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์เช่นนี้หาได้ไม่ง่ายนัก แม้เป็นเรื่องราวของครอบครัวเชื้อสายจีนในดินแดนสยามช่วงก่อนและหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.๒๔๗๕ ที่อยู่ในอำเภอเล็ก ๆ ของจังหวัดไกลโพ้น ทว่ากลับสัมพันธ์กับโครงสร้างการเมืองการปกครองในยุคสมัยต่าง ๆ ฉายภาพให้เห็นการเริ่มต้น ความรุ่งเรือง กระทั่งถึงความร่วงโรยของธุรกิจโรงสี โดยใช้ภาษาที่ลุ่มลึก แต่บอกเล่าให้เข้าใจง่าย ให้บรรยากาศชวนติดตาม ผู้อ่านจึงได้รับอรรถรสทางภาษาสำนวนและความรู้ทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมท้องถิ่นไปพร้อมกัน คณะกรรมการตัดสินจึงมีมติให้ “ลมพัดมิรู้ล่วงหน้า : จารึกโรงสี ลูกจีนโพ้นทะเล” ของ   สุกัญญา หาญตระกูล    ได้รับรางวัลชนะเลิศ รางวัลเซเว่นบุ๊คอวอร์ด ประเภทสารคดี ประจำปีพุทธศักราช ๒๕๖๔  

ให้ความหวังนำทางเรา

หนังสือเรื่อง “ให้ความหวังนำทางเรา”  ของ “แพน พงศ์พนรัตน์”  เล่าเรื่องการเดินทางของนักวิจัยไทยคนหนึ่ง ที่ตามติดไปในพื้นที่ประสบหายนะของญี่ปุ่น หลังเหตุการณ์สึนามิครั้งใหญ่ที่ทำให้โครงสร้างของสังคมญี่ปุ่นเปลี่ยนแปลงไปแทบจะสิ้นเชิง ผู้เขียนไม่ได้มองผู้คนอย่างผิวเผิน ทว่าด้วยการสื่อสารภาษาญี่ปุ่นโดยตรง จึงพาผู้อ่านไปรับรู้อารมณ์ความรู้สึก การปรับตัว ความสะเทือนใจต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากโศกนาฏกรรมครั้งนั้น โดยผ่านลีลาภาษาที่เรียบง่ายแต่งดงามอย่างยิ่ง

จะไม่ทิ้งใครไว้บนเตียง

“จะไม่ทิ้งใครไว้บนเตียง” ของ “ปกาศิต แมนไทยสงค์” แม้เป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยซึ่งเป็นพี่สาวของผู้เขียน อันเป็นเรื่องในครอบครัว แต่การนำเสนออย่างมีชั้นเชิงทางวรรณศิลป์ สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อ่านตระหนักถึงการ “ไม่ทิ้งใครไว้บนเตียง” ด้วยการให้กำลังใจ ดูแลเอาใจใส่ ทำให้ผู้ป่วยได้รับพลังใจจนอาการดีขึ้น จุดเด่นของหนังสือเรื่องนี้คือการเล่าความคิดของผู้เขียนด้วยภาษาสำนวนที่น่าประทับใจ สะท้อนความห่วงใยทั้งพี่สาวและแม่ เป็นแบบอย่างให้ผู้คนในสังคมตระหนักว่าการดูแลผู้ป่วยไม่ใช่หน้าที่ของบุคลากรทางการแพทย์เท่านั้น แต่กำลังใจจากญาติพี่น้องและคนใกล้ชิดเป็นสิ่งสำคัญ กระทั่งกล่าวได้ว่าในบางกรณีเป็นเงื่อนไขชี้ขาดความเป็นความตายของผู้ป่วย ชื่อหนังสือ “จะไม่ทิ้งใครไว้บนเตียง” จึงเป็นทั้งปณิธานและข้อเตือนใจให้คนในสังคมไม่ทอดทิ้งผู้ป่วยหรือผู้อาวุโส ซึ่งเป็นประชากรหลักของสังคมผู้สูงวัย

My Chefs

แม้หนังสือเรื่องนี้จะตั้งประเด็น “อาหาร” เป็นแกนหลัก แต่ผู้เขียนเชื่อมโยงเรื่องราวไปสู่ความรู้อันหลากหลายทั้งประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ วัฒนธรรม ประเพณี รวมถึงความทรงจำวัยเยาว์ที่เคยกินข้าวก้นบาตรพระในฐานะเด็กวัดได้อย่างน่าสนใจ หนังสือเล่มนี้พูดถึงอาหารพื้นบ้านจนกระทั่งอาหารบนภัตตาคารหรู ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ตามประสบการณ์ตรงของผู้เขียน จึงเกิดการเปรียบเทียบวัฒนธรรมอาหารไทยกับอาหารนานาชาติให้เห็นภาพความลุ่มลึกของอาหารได้อย่างชัดเจน ให้สาระความรู้ ความคิด ความสำนึกต่ออาหาร ลึกลงไปถึงระดับวัฒนธรรมอาหาร วัฒนธรรมการบริโภค ศิลปะการประกอบอาหาร กระบวนการเปลี่ยนแปลงของอาหาร ด้วยลีลาการเรียบเรียง โดยบรรยายด้วยภาษาสละสลวยงดงามราวงานวรรณกรรม คณะกรรมการตัดสินจึงมีมติให้  “My Chefs”  ของ “อนุสรณ์ ติปยานนท์”  ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ ๒ รางวัลเซเว่นบุ๊คอวอร์ด ประเภทสารคดี ประจำพุทธศักราช ๒๕๖๓

มันนิซาไก คนป่าแห่งเขาบรรทัด

หนังสือเรื่องนี้แสดงการสำรวจทางมานุษยวิทยาอย่างนักวิชาการ แต่นำเสนออย่างสารคดี เป็น        สารคดีสัญจรไปค้นหาคุณค่าของกลุ่มชาติพันธุ์ที่ถูกหลงลืม และถูกมองว่าเป็นผู้ล้าหลัง อ่อนด้อยทางวัฒนธรรม แต่แท้ที่จริงแล้ว มันนิซาไกเป็นชนเผ่าที่มีวัฒนธรรมอันเป็นอัตลักษณ์ของตนเอง โดยคำว่ามันนิก็แปลว่า “คน” นั่นเอง ผู้เขียนได้เข้าไปสัมผัส  ศึกษา  ค้นคว้า หาความเป็นจริง ถ่ายทอด ความคิด ความเชื่อ วัฒนธรรมดั้งเดิมออกมาให้สังคมคนเมืองรับรู้ได้อย่างน่าติดตาม สร้างความสะเทือนใจ เข้าใจ และเห็นอกเห็นใจไปพร้อมกัน คณะกรรมการตัดสินจึงมีมติให้  “มันนิซาไก คนป่าแห่งเขาบรรทัด”  ของ “บุหลัน รันตี”  ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ ๒ รางวัลเซเว่นบุ๊คอวอร์ด ประเภทสารคดี ประจำพุทธศักราช ๒๕๖๓  

หญิงร้าย

เป็นหนังสือที่ปรับปรุงจากวิทยานิพนธ์ แสดงถึงประวัติศาสตร์สังคมของผู้หญิงไทย ทั้งสตรีชนชั้นสูงและสามัญชน ที่ถูกกดทับ จำกัด ปิดบัง อยู่ใต้วัฒนธรรมชายเป็นใหญ่มายาวนาน ตั้งแต่ยุคต้นรัตนโกสินทร์มาจนถึงก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.๒๔๗๕ หนังสือเล่มนี้ให้คุณค่าความรู้จากการทำวิจัยจริง จึงมีข้อมูลหนักแน่น แสดงให้เห็นการปะทะกันระหว่างโครงสร้างอำนาจเดิมกับกระแสความเปลี่ยนแปลงในแต่ละยุคสมัย นำเสนอให้ผู้อ่านเพลิดเพลินเห็นภาพชัดเจนราวกับได้อ่านนวนิยายประวัติศาสตร์เสมือนจริง นับเป็นตัวอย่างวิธีการดึงดูดให้คนรุ่นใหม่สนใจอ่านงานวิชาการด้วยเทคนิคการเขียนที่ทันสมัย แม้จะยังสามารถปรับปรุงวิธีวางโครงเรื่องและลีลาการเขียนให้อ่านราบรื่นกว่านี้ คณะกรรมการตัดสินจึงมีมติให้ “หญิงร้าย” ของ “วรธิภา สัตยานุศักดิ์กุล” ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ ๑ รางวัลเซเว่นบุ๊คอวอร์ด ประเภทสารคดี ประจำพุทธศักราช  ๒๕๖๓

มัสซาลา-จาปาตี

เป็นหนังสือที่ว่าด้วยเรื่องราวชีวิตที่หลายหลาก สีสันแห่งความคิด ความรู้สึกของผู้คนที่เกิดขึ้นและดำรงอยู่ ในประเทศอินเดียผ่านประสบการณ์ของนักเรียนไทยที่ต้องใช้ชีวิตและสัมผัสอินเดียนานกว่า ๒ ปี รวบรวมไว้ซึ่งเรื่องราวของหญิงสาวอินเดียในศตวรรษที่ ๒๑ความนิยมที่น่าแปลกใจของภาพยนตร์อินเดีย ความศรัทธาแห่งนาฏกรรมอินเดีย จิตวิญญาณ แห่งประเทศอินเดีย และเรื่องราวของชายชราชาวทิเบตที่ต้องสูญเสียถิ่นฐานบ้านเกิด ก่อนจะอพยพสู่อินเดียด้วยปวดร้าว พร้อมทั้งความหมายของกระจกสองด้านกับอินเดียดินแดนกลิ่นเครื่องเทศ

ทำมาหากินบนถิ่นไทย

เป็นเรื่องราวน่ารู้เกี่ยวกับการประกอบอาชีพต่างๆในเมืองไทยสมัยก่อนซึ่งผู้เขียนเรียบรียงจาก “รูปยาชิกาแรต” ที่แถมมาในซองบุทรีในอดีตจำนวน ๕๐ ภาพ ที่เป็นลักษณะเดียวกันเป็นภาพคนไทยบ้าง คนจีนบ้าง หรือคนชาติอื่นๆ ก็มีโดยเฉพาะภาพคนจีนจะสะท้อนถึงคนจีนรุ่นแรกๆ ที่อพยพมาจากบ้านเกิดเมืองนอนของตน มาแสวงหาที่อยู่ใหม่ในเมืองไทย ที่รียกกันว่า “เสื่อผืนหมอนใบ”และโดยคนจีนเหล่านั้นได้ประกอบอาชีพสุจริต โดยไม่เลือกว่าจะเป็นอาชีพอะไรเพียงแต่ขอให้ได้เงินมาเลี้ยงชีพเพื่อความอยู่รอดเท่านั้น ผู้เขียนได้คั้นคว้าหข้อมูล และเรียบรียงเรื่องราวไว้อย่างน่าสนใจ อีกทั้งยังสอดแทรกความรู้เกี่ยวกับคนจีนและเมืองจีนไว้พร้อมสรรพ และได้นำรูปยาชิกาแรตอันเป็นข้อมูลหลักมาพิมพ์ป็นภาพสีเหมือนจริงประกอบไว้ทุกรูปด้วยทำให้หนังสือสวยงาม น่าอ่านและ น่าสะสม

เจิ้งเหอ แม่ทัพขันที “ซำปอกง”

ผู้เขียนบรรยายถึงความมโหฬารของขบวนเรือรบของแม่ทัพใหญ่เจิ้งเหอที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์แห่งนาวีมนุษยชาติ อีกทั้ง ยังได้เล่าเรื่องราวการเยือนกรุงศรีอยุธยาของแม่ทัพเจิ้งเหอ ราวสมัยรัชกาลพระรามราชาธิราช ถึงรัชกาลสมเด็จพระอินทราชาธิราชที่ ๑ หนังสือเล่มนี้ผู้เขียนได้แรงบันดาลใจในการเขียน จากการได้ไป กราบสักการะองค์หลวงพ่อโตซำปอกงที่วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหารแห่งย่านกุฎีจีน ธนบุรีและจากการค้นคว้าผู้เขียนได้พบความมโหฬารของขบวนเรือแห่งราชวงศ์หมิง โดยได้เปรียบเทียบให้เห็นภาพอย่างน่าตื่นตาตื่นใจ ขอบเขตแดนที่กองเรือยักษ์มังกรท่องไปถึงนั้น มีนับตั้งแต่แดนในอุษาคเนย์ อินเดีย และแอพริกา รวมราว ๓0 ประเทศ และเมื่อเทียบกับประวัติศาสตร์การค้นพบโลกใหม่ของนักเดินเรือฝ่ายตะวันตก คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส พบทวีปอเมริกาและคิดว่าดินแดนที่เขาพบผืนนี้คือหมู่เกาะเอเชียตะวันออกในปี ๑๔๙๒ ซึ่งห่างจากช่วงที่แม่ทัพเจิ้งเหอออกทะเลครั้งแรกถึง ๘๗ ปี และเรือของโคลัมบัสวีรบุรุษผู้ค้นพบ โลกใหม่ยังเล็กกว่าเรือมหาสมบัติของจีนถึง ๔ เท่า ซึ่งเป็นการด้นคว้า ศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดลึกซึ้ง และมีการนำเสนอข้อมูลเหล่านี้อย่างน่าสนใจ

๗๐ นักสู้แห่งตะรุเตา

เป็นหนังสือที่ถ่ายทอดเรื่องราวของนักโทษการเมือง ๗- คน ที่ถูกส่งตัวไปกักกันที่เกาะตะรุเตาและเกาะเต่า ระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๘๒-๒๔๘๗ อย่างละเอียดและลุ่มลึก ผู้เขียนได้เดินทางไปศึกษาและสำรวจสถานที่ทางประวัติศาสตร์ เช่น เกาะตะรุเตา เกาะเต่า ลังกาวีกันตัง และควนเนียง ด้วยตนเอง พร้อมทั้งค้นคว้าเพิ่มเติมจากงานเขียนงานวิจัยอีกหลายเล่ม เนื่องจากเห็นว่า เกาะตะรุเตามีส่วนเกี่ยวข้องกับการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยของเมืองไทย รวมทั้งเป็นสีสันและมีจุดเด่นที่ประวัติศาสตร์ที่คนไทยมิอาจมองข้าม

ลูกผู้ชายชื่อบรรลุ

เป็นอนุทินชีวิตของนายแพทย์บรรลุ ศิริพานิช อันเป็นสารคดีที่เหมาะแก่ยุคสมัยในปัจจุบัน หนังสือได้แสดงให้เห็นชัดเจนว่านายแพทย์บรรลุเป็นคนตรง มีความซื่อสัตย์สุจริตสูง เคร่งครัดในความถูกต้องและชอบธรรม สมควรเป็นตัวอย่างของคนรุ่นหลังได้อย่างดีผู้เรียบเรียงสรรหาเรื่องที่ดี มีประโยชน์ต่อการสร้างสรรค์และพัฒนาคุณภาพชีวิตมีข้อมูลมาก จนเป็นสารคดีเชิงวิซาการได้ และถึงแม้จะมีเนื้อหาเชิงวิชาการ แต่ผู้เขียนก็รู้จักดำเนินเรื่องอย่างมีเทคนิคให้น่าอ่านราวกับนวนิยายด้วยการผูกปม คลายปม ซึ่งสร้างปมต่อไป ทำให้ผู้อ่านอยากติดตามเรื่อยไปจนตลอดเล่ม ในเชิงวรรณศิลป์ ผู้เรียบเรียงทำได้ดี เป็นขั้นตอนชวนอ่านมีน้ำหนักน่าเชื่อถือเพราะส่วนใหญ่เป็นบันทึกส่วนตัวของนายแพทย์บรรลุเอง และให้ความรู้เกี่ยวกับสภาพท้องถิ่นชนบทและเหตุการณ์บ้านเมืองพร้อมทั้งความเห็นของนายแพทย์บรรลุสรุปได้ว่าเป็นเรื่องใกล้ตัวผู้อ่านให้ทั้งความรู้และความคิด จึงเป็นหนังสือที่ควรสนับสนุนให้พิมพ์เผยแพร่ให้มากๆ ต่อไป เป็นการทำงานการค้นคว้าทางสารคดีเป็นครั้งแรกทั้งจากการสัมภาษณ์และการค้นคว้าจากเอกสารทำได้ดีมาก น่สนับสนุนให้มีการทำสารคดีประวัติบุคคลสำคัญของไทยให้มากขึ้นเพื่อเป็นแบบอย่างในการส่งเสริมให้คนอื่นๆ ทำต่อไป