ผลรางวัล

รางวัลรองชนะเลิศอันดับหนึ่ง

  • Home
  • รางวัลรองชนะเลิศอันดับหนึ่ง

รางวัลรองชนะเลิศอันดับหนึ่ง

อธิษฐานสิจ๊ะกับนางฟ้า สีเขียว

เรื่องราวความทรงจำในวัยเด็กของเด็กชายเล็กๆ คนหนึ่งซึ่งมีต่อ “นางฟ้า” ผู้แสนดีและพร้อมที่จะรับฟังทุกเรื่องราวของเขา  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กในสายตาผู้ใหญ่หรือเรื่องใหญ่ในความรู้สึกของเด็ก ผู้อ่านจึงได้รับรู้ความรู้สึกของเด็กน้อย  ตั้งแต่รายละเอียดที่บ้านอันอบอุ่นทั้งที่ขัดสนจนถึงโรงเรียนอันน่าสนุกสนานและน่าเบื่อ หรือเพื่อนรักของเขาซึ่งอาจจะไม่น่ารักสำหรับใครๆ แต่มิตรภาพอันบริสุทธิ์ของเด็กทั้งสองก็ยังคงอยู่ด้วยความบริสุทธิ์สดใส “วิเชียร  ไชยบัง”  สะท้อนความรู้สึกอันงดงามในใจของเด็กๆ ได้อย่างลึกซึ้ง  ด้วยภาษาที่อ่อนโยนละเมียดละไม ชวนให้ผู้อ่านต้องย้อนทบทวนว่า  เด็กๆ ก็มีหัวใจ และจินตนาการอันยิ่งใหญ่ที่เราไม่ควรละเลย

คนในคลื่น

10 เรื่องสั้นที่รวมพิมพ์อยู่ในหนังสือ “คนในคลื่น” ถ่ายทอดเรื่องราวของคนที่ทำงานในเรือประมง   ความผูกพันระหว่างคนกับทะเล และความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน อย่างมีเลือดเนื้อ มีชีวิตจิตใจ และมีสีสัน ทั้งในฐานะที่ผู้เขียนมีโอกาสใช้ชีวิตอยู่ในเรือประมงมานานหลายปี และในฐานะของนักสังเกตการณ์ที่เฝ้ามองความเป็นไปต่างๆ อย่างพินิจพิเคราะห์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฐานะคนเขียนหนังสือที่มีฝีมือและความสามารถในการใช้ภาษาทำให้ผู้อ่านมองเห็นภาพชีวิตความเป็นอยู่ในเรือ สัมผัสขื่นคาวของทะเลและผู้คนที่ร่วมชะตากรรมในเรือลำเดียวกัน อีกทั้งผู้เขียนได้สะท้อนให้ย้อนมองกลับไปยังอดีตอันรุ่งโรจน์และอนาคตอันร่วงโรยของประมงไทยในที่ซึ่งประสบการณ์ของคนรุ่นเก่เผชิญหน้ากับเทคโนโลยีของคนรุ่นใหม่ รวมเรื่องสั้นเล่มนี้ยังได้บอกกับเราว่าแม้จะไม่ได้อยู่ในเรือประมง  แต่เราทุกคนก็อยู่ในคลื่นทะเลชีวิต เช่นเดียวกัน หนังสือรวมเรื่องสั้นคนในคลื่น จึงสมควรได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 รางวัลเซเว่นบุ๊คอวอร์ดประจำปี 2553

น้ำ : ของวิเศษสามสถานะบนดาวเคราะห์สีน้ำเงิน

นำเสนอองค์ความรู้ว่าด้วยน้ำอย่างรอบด้าน ด้วยภาษา สำนวน ชวนอ่าน มีการอ้างอิงข้อมูลเชิงวิชาการที่น่าเชื่อถือ ทำให้ตระหนักถึงความสำคัญของน้ำและสิ่งมีชีวิตที่พึ่งพิงน้ำในการดำรงชีวิตก่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจจุดประกายความคิดที่จะอนุรักษ์น้ำให้ยั่งยืน  ทั้งยังมีการจัดเนื้อหาสลับรูปการ์ตูนอย่างน่าสนใจและน่าติดตาม    

ธนูสายฟ้า

ธนูสายฟ้า เป็นผลงานประพันธ์ของมาลา คำจันทร์  นวนิยายเรื่องนี้ได้นำพาผู้อ่านกลับไปสู่โลกของนิทานพื้นบ้านในอดีต แม้ผู้ประพันธ์จะใช้รูปแบบการนำเสนอแบบนวนิยายสมัยใหม่ แต่กลการประพันธ์ของนวนิยายเรื่องนี้สืบขนบการแต่งเรื่องแบบนิทานอย่างชัดเจน  ดังจะเห็นว่าผู้ประพันธ์ได้สร้างเนื้อหาให้เวียนวนอยู่ในโลกของจินตนาการมากกว่าความสมจริง  มีการสร้างตัวละครแบบวีรบุรุษ  การใช้อนุภาคของนิทานพื้นบ้าน เช่น การซ่อนตัวของตัวละคร การติดตามหาของวิเศษ การพบและพลัดพราก การสร้างฉากมหัศจรรย์ การสร้างตัวละครอมนุษย์ ฯลฯ ผู้ประพันธ์ได้สร้างสรรค์จินตนาการแปลกๆ ใหม่ๆ โดยนำมาผสานกับคติชนของล้านนาและการที่ผู้ประพันธ์ใช้ภาษาถิ่นล้านนาสอดแทรกอยู่ตลอดเรื่อง ทั้งในด้านคำศัพท์และความเปรียบ ทำให้นวนิยายเรื่องนี้  มีความโดดเด่นด้านการแสดงสีสันของท้องถิ่นอีกด้วย ธนูสายฟ้า จึงนับเป็นตัวอย่างของงานวรรณกรรมที่ “เล่น” และ “ล้อ” กับขนบการประพันธ์ในอดีตและทำให้ประจักษ์ว่าในโลกสมัยใหม่ นิทานยังมีบทบาทในด้านการสร้างจินตนาการและความบันเทิงให้แก่คนในสังคม

เหมือนหนึ่งมนุษย์มีเลือด คนละสี

รวมกวีนิพนธ์ เหมือนหนึ่งมนุษย์มีเลือดคนละสี ของ ธาร ธรรมโฆษณ์ นำเสนอเรื่องราวของมนุษยโลกที่มีความขัดแย้งเข่นฆ่ากันนำไปสู่สงครามด้วยมายาคติที่เห็นว่าเป็นวีรกรรม  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมไทยร่วมสมัยที่มีทั้งความขัดแย้งทางการเมืองและความรุนแรงในภาคใต้  เนื้อหาแบ่งเป็นสองตอนคือ เหมือนหนึ่งมนุษย์และมีเลือดคนละสี ด้านกลวิธีการประพันธ์ รวมบทกวีเรื่องนี้มีความโดดเด่นที่นำรูปแบบกวีนิพนธ์พื้นบ้านคือเพลงกล่อมเด็กของภาคใต้มาเรียงร้อยเพื่อนำเสนอเรื่องราวที่สืบเนื่องสัมพันธ์กัน  ในแต่ละบทจะยกเพลงกล่อมเด็กพื้นบ้านขึ้นต้นและตามด้วยบทกลอนที่เชื่อมโยงเนื้อหาในเพลงกล่อมเด็กมาสู่เหตุการณ์ในสังคมไทยร่วมสมัยและจบบทด้วยการให้แง่คิด ทัศนะที่        เฉียบคม เป็นกลวิธีการประพันธ์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะที่สามารถสืบสานมรดกวัฒนธรรม   ทางวรรณศิลป์ที่เป็นมุขปาฐะมาถ่ายทอดประยุกต์  เนื้อหาให้เล่าเรื่องร่วมสมัยและยังให้ทางออกของความขัดแย้งต่าง ๆ ด้วยแนวคิดทางพุทธศาสนาโดยการลงจบด้วยบท  “แผ่เมตตา”

มรสุมประเทศนี้ยังยาวนาน

มรสุมประเทศนี้ยังยาวนาน รวมบทกวีร่วมสมัย: ท่ามกลางมรสุมที่พัดผ่านคาบสมุทรโบราณ ของ วิสุทธิ์            ขาวเนียม นำเสนอภาพของสังคมไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในดินแดนภาคใต้ทั้งในด้านสังคม วัฒนธรรมและการเมือง            ความขัดแย้งทางการเมืองส่งผลกระทบที่ทำให้สังคมและทุกชีวิตเป็นทุกข์และป่วยไข้ รวมบทกวีแบ่งการนำเสนอเป็นสี่กลุ่ม คือ มรสุมยาวนาน ห้วงมนตราในรูปการณ์แห่งรหัสนัย เพรียกมาจากบาดแผลและดอกไม้ในดวงตาจบลงด้วยบท “รำพึงจากพลเมืองของประเทศสงคราม” ด้านกลวิธีการประพันธ์ผู้ประพันธ์มีความพิถีพิถันในการนำเสนอเรื่องราวของสังคมไทยในท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงและขัดแย้งด้วยการเปรียบเทียบเชิงอุปมาอย่างซับซ้อน  กวีนิพนธ์แต่ละบทจึงมีเนื้อหาและศิลปะ                 ในการถ่ายทอดที่มีลีลาเฉพาะบทชวนให้ติดตามค้นหาความหมาย  มีความโดดเด่นในการหยิบยกภาพธรรมชาติและภาพเล็กๆที่คนทั่วไปอาจไม่ได้ให้ความสำคัญมาเปรียบเทียบกับแนวคิดเกี่ยวกับมนุษย์และเหตุการณ์ในสังคม เช่น โลมากำสรวล แม่นกนางแอ่นชรา แมวเปรียวจับผีเสื้อ และ ในเสียงบีบบิเปลือกถั่วลิสง เป็นต้น  รวมบทกวีเล่มนี้จึงมีความหลากหลายด้านกลวิธีการนำเสนออย่างมีวรรณศิลป์

ในความไหวนิ่งงัน

รวมบทกวีบันทึกปัจจุบันสมัย ในความไหวนิ่งงัน ของ “นายทิวา”  เป็นกวีนิพนธ์ผู้ประพันธ์บันทึกเหตุการณ์ของสังคมไทยร่วมสมัยที่มีความขัดแย้งทางการเมือง  นักการเมืองการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย  แบ่งสีแบ่งกลุ่มตามความคิดความเชื่อทางการเมือง ทำให้เกิดการต่อสู้ทางการเมืองจนเกิดความรุนแรง  สังคมกลายเป็นสังคมแห่งความเกลียดชังซึ่งไม่เกิดผลดีทั้งต่อประชาชนเองและสังคมไทยโดยรวมท้ายที่สุด ไม่มีผู้ใดชนะ สิ่งที่ทุกฝ่ายควรจะต้องชนะก็คือการปล่อยวางอคติ ความโกรธเกลียด “แท้ที่ต้องเอาชนะคืออะไร                    อคติชนิดไหนใช้เหตุผล                 ชนะโกรธเกลียดกลัวชนะตน                ปล่อยวางจึงหลุดพ้นชนะแท้” ด้านกลวิธีการประพันธ์ ผู้ประพันธ์ใช้กลอนแปดถ่ายทอดเรื่องราวในสังคมไทยผ่านทัศนะและมุมมองของตน ด้วยลีลาที่เข้มข้น มีพลัง กระชับ ตรงไปตรงมา  รวมบทกวีเรื่องนี้เปรียบเสมือนเสียงจากมโนสำนึกของกวีต่อความขัดแย้งในสังคมไทยร่วมสมัย

บนแผ่นกระดาษ

เป็นรวมบทกวีสะท้อนความคมชัดของทัศนะที่ปรากฏในเนื้อหาแต่ละเรื่องได้อย่างโดดเด่น มีมุมมองในการนำเสนอที่น่าสนใจหลายประเด็น สามารถเล่นคำได้อย่างมีวรรณศิลป์ ทั้งเสียงและความหมาย แม้จะมีปัญหาเรื่องสัมผัสซ้ำและการใช้ถ้อยคำอยู่บ้าง

เทวดากับยาจก

เรื่องของเทวดาวรินทร ผู้ทำหน้าที่เป็นเทวดาอารักษ์ กับนายศรัทธา วิริยะ ผู้ที่แสนดี แต่ยากจน ชีวิตของเขาประสบแต่ความโชคร้าย และถูกเอาเปรียบเอาเปรียบโดยตลอด เขามีความสุขที่เห็นคนอื่นมีความสุข ยึดมั่นอยู่กับการะทำแต่ความดี พอใจที่ได้ช่วยเหลือผู้อื่นทุกโอกาสเท่าที่จะทำได้ เทวดาวรินทรที่ อยากให้คนดีอย่างนายศรัทธาได้รับผลตอบแทนที่ดีบ้าง จึงเพียรพยายามหาทางช่วยเหลือนายศรัทธาทุกวิถีทาง เทวดาวรินทรต้องไปพบเทวดาตามกระทรวงต่าง ๆ บนสวรรค์ เช่น กระทรวงชะตากรรมมนุษย์ กระทรวงมั่งคั่ง กรมโอกาส กรมลาภ เป็นต้น ซึ่งนอกจากจะไม่สามารถช่วยเหลือนายศรัทธาได้แล้ว ยังส่งผลกระทบมาถึงตัวเทวดาวรินทรอีกด้วย เรื่องดำเนินไปอย่างน่าติดตาม และคลี่คลายในที่สุด คือ ตัวละครเอกทั้งสองได้รับผลแห่งการทำความดี เทวดากับยาจก เป็นหนังสือที่ส่งเสริมการทำความดีโดยไม่หวังผลตอบแทน การช่วยเหลือเกื้อกูลในสังคม ชี้ให้เห็นความสุขที่เกิดจากใจ การมองโลกในแง่ดีเกิดความเชื่อมั่นว่าการทำดีจะส่งผลดีต่อผู้กระทำอย่างแน่นอน

Love on 20 pages

หนังสือการ์ตูนเล่มนี้เมื่ออ่านแล้วให้ความรู้สึกใกล้ตัวเหมือนมีประสบการณ์ชีวิตร่วม ทั้งภาพ เรื่องราว และเนื้อหามีบรรยากาศแบบไทย ๆ ที่ทำให้เกิดบรรยากาศที่คุ้นเคย “LOVE ON 20 PAGES” นำเสนอเรื่องราวที่เกี่ยวกับความรักในหลาย ๆ รูปแบบ เช่น พระเอกนางเอกของเรื่องซึ่งเป็นหนุ่มสาวสมัยใหม่  แม้มีอุปนิสัยแตกต่างกัน ทำให้ชีวิตครอบครัวดูปั่นป่วน แต่ก็มีความรักและความอบอุ่น มีเรื่องราวความรักของคนสูงอายุ ความรักของตัวประกอบ ความรักของพ่อแม่ลูก มิตรภาพความรักระหว่างผู้ให้และผู้รับ รวมทั้งความรักของผู้คนทั่ว ๆ ไปในสังคมไทย การ์ตูนเล่มนี้มีลายเส้นที่ทันสมัย ดำเนินเรื่องราวและภาพได้สนุกเต็มไปด้วยชีวิตชีวา มีอารมณ์ มีข้อคิดและแง่มุมดี ๆ ในการใช้ชีวิตร่วมกันระหว่างครอบครัวสามีภรรยา พ่อแม่ลูก เพื่อน ฯลฯ กลิ่นอายของการ์ตูนโดยรวมให้อารมณ์ที่อบอุ่น

แผ่นดินนี้ที่อีกฟากเขา

สารคดีนำเสนอเรื่องราวกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีถิ่นฐานอยู่ในเขตภูเขาทางภาคเหนือของประเทศไทย ได้แก่ เรื่องพิธีวิวาห์ตามวิถีของชาวเผ่าเมี่ยน จังหวัดน่าน เรื่องชนเผ่าปกากะญอบนเทือกเขาธงชัยกับการรักษาป่ารักษาน้ำ เรื่องของชาวไทใหญ่ กลุ่มชนที่มีดินแดนและประเพณีวัฒนธรรมของตนกับการแสวงหาเอกราช และกะเหรี่ยงฤษีแห่งป่าตะวันตกชนกลุ่มเดียวในประเทศไทยที่ยังนับถือฤษีเป็นผู้นำทางความเชื่อและจิตวิญญาณ ความงดงามของชนเผ่าเหล่านี้ นำเสนอผ่านลีลาภาษาสำนวนอันละเมียดละไม  บอกเล่าความเป็นมาเป็นไปของคติความเชื่อ ประเพณี พิธีกรรม อย่างลุ่มลึกและน่าเชื่อถือ จากการที่ผู้เขียนค้นคว้าข้อมูลอย่างรัดกุม สอดแทรกทัศนคติและอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของผู้เขียนพอประมาณ เป็นการผสมผสานข้อมูลทางกายภาพเข้ากับข้อมูลทางจินตภาพอย่างมีชั้นเชิงทางวรรณศิลป์ ส่งผลให้ผู้อ่านได้รับอรรถรสเต็มอิ่ม จุดประกายคิดให้ตระหนักในคุณค่าของความเป็นมนุษย์อันพึงเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นพลเมืองหลัก หรือชนชาติส่วนน้อย อย่างไรก็ตาม มีบางส่วนที่หยิบยกประเด็นอื่นขึ้นมาพูด อาทิ เรื่องสิ่งแวดล้อมการสร้างเขื่อน ซึ่งในแง่หนึ่งอาจมองได้ว่าไม่เกี่ยวกับกลุ่มชาติพันธุ์ แต่ในอีกแง่หนึ่งก็ถือได้ว่าเป็นผลกระทบของการจัดการทรัพยากรสมัยใหม่ที่ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงต่อกลุ่มชาติพันธุ์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยรวมแล้วจึงทรงคุณค่าที่จะเป็นหนังสือรองชนะเลิศอันดับ 1 รางวัลเซเว่นบุ๊คอวอร์ด ประเภทสารคดีชาติพันธุ์วิทยา ประจำปีพุทธศักราช 2554

เส้นผมบังจักรวาล

“เส้นผมบังจักรวาล” เป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นที่ถ่ายทอดความเป็นไปของชีวิต ผ่านบทบาทของตัวละครในฉากเล็ก ๆ แคบ ๆ และธรรมดาดังที่พบเห็นกันอยู่ แต่ด้วยมุมมองและจินตนาการของผู้เขียน  ภาพที่ปรากฏต่อผู้อ่านกลับมีแง่มุมแปลกใหม่ที่น่าสนใจและชวนให้ขบคิดตาม ผู้เขียนมีศิลปะในการเล่าเรื่องด้วยลีลาภาษาร่วมสมัย และสร้างโครงเรื่องที่หลากหลายใช้กลวิธีต่างกัน มีทั้งแนวสมจริง เหนือจริง สัญลักษณ์ และอื่น ๆ นำผู้อ่านไปสัมผัสกับความรัก ความชัง ความทุกข์ ความสุข ความเจ็บปวด และความเฉยชาที่มีอยู่ในการเกิด การตาย และการดิ้นรนเพื่อจะมีชีวิตอยู่ของตัวละคร และสื่อความหมายเป็นนัยว่าถ้ามองทะลุตัวละครเหล่านั้นไป ก็จะพบความจริงเช่นเดียวกันในโลก

สายลมกับทุ่งหญ้า

เรื่องราวของตากับหลานที่มีรายละเอียดอันอ่อนโยนของชีวิต ซึ่งดำเนินไปตามวิถีโลก บอกเล่าถึงความผูกพันของคนสองวัย คือ กายในวัยที่กำลังเรียนรู้เพื่อความเข้มแข็งกับตาคำผู้ซึ่งผ่านประสบการณ์ชีวิตอันเข้มข้นและมองทุกอย่างผ่านสายตาอันลึกซึ้งและแหลมคม การดำรงอยู่และเติบโตของกายสวนทางกับความร่วงโรยและการจากพรากของตาคำ แต่เรื่องราวระหว่างบรรทัดนั้นเองที่ทำให้กายและผู้อ่านได้ค้นพบความหมายของชีวิตผ่านสายลมกับทุ่งหญ้าอันงดงามในความเป็นจริง วิเชียร ไชยบัง สามารถใช้ภาษาและจินตนาการก่อให้เกิดความเพลิดเพลิน และชวนติดตามเรื่องราวของตัวละครที่เปรียบเสมือนบุคคลที่เราได้พบเห็นในสังคมชนบทที่ยังมีความรัก ความผูกพันและอบอุ่นไปด้วยน้ำใจไมตรีซึ่งไม่มีวันลบเลือนไปจากสังคมไทย

โลกประหลาดในประวัติศาสตร์ความเศร้า

ศิริวร  แก้วกาญจน์  สร้างสรรค์นวนิยายเรื่องโลกประหลาดในประวัติศาสตร์ความเศร้า โดยนำเสนอประเด็นเนื้อหาในระดับมหาภาค  นั่นคือการทำล้างเผ่าพันธุ์ที่ผู้มีอำนาจกระทำต่อชนกลุ่มน้อย การต่อสู้กับอำนาจเผด็จการทหารเพื่อสิทธิ เสรีภาพและประชาธิปไตย และอำนาจทุนนิยมที่ฉกฉวยประโยชน์ทุกวิธีแม้กระทั่งจุดไฟสงคราม เรื่องราวของกระเหรี่ยงอพยพหนีทหารพม่าที่ปล้น ฆ่า ข่มขืน บ้านเรือนถูกเผา ครอบครัวกระเจิดกระเจิงพลัดพราก และเรื่องราวของนักศึกษาพม่าที่หลบหนีลี้ภัยจากการกวาดล้างของรัฐบาลทหารมาใช้ชีวิตในค่ายอพยพและเมืองเล็กบริเวณตะเข็บชายแดนไทย-พม่า รวมทั้งเรื่องราวชองประชาชนพม่าที่ถูกกดขี่รังแกต้องหลบซ่อนในป่าเป็นผู้ลี้ภัยในประเทศของตนเอง ถูกถ่ายทอดในนวนิยายชื่อยาวนี้ด้วยเทคนิควิธีต่าง ๆ ได้แก่ การเล่าเรื่องตัดสลับไปมาที่ทำให้เวลาเลื่อนไหลอยู่ระหว่างอดีตกับปัจจุบัน การใช้ภาพเหนือจริง การแทรกตำนานและนิทานพื้นบ้าน เรื่องราวของคนชายขอบ นัยเปรียบเทียบระหว่างความทุกข์เศร้าส่วนตัวกับความทุกข์เศร้าของมนุษยชาติ และการใช้รูปแบบของนวนิยายที่แทรกด้วยบันทึกส่วนตัวของตัวละครผู้เล่าเรื่อง ซึ่งเป็นการสร้างเรื่องเล่าคู่ขนาน 2 เรื่อง เพื่อทำลายนิยามของนวนิยายตามขนบเดิม กลวิธีทางวรรณศิลป์ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ทำให้นวนิยายเรื่องนี้เป็นวรรณกรรมสร้างสรรค์ที่มีลักษณะของคตินิยมหลังสมัยใหม่ (post-modernism) อันเป็นพัฒนาการของวรรณกรรมไทยร่วมสมัย ความโดดเด่นของนวนิยายเรื่องโลกประหลาดในประวัติศาสสตร์ความเศร้าอยู่ที่การสร้างบรรยากาศของความเศร้าที่กัดกินใจของผู้อ่าน แววตาหม่นมัว ใบหน้าโศกหมอง น้ำตาที่ต้องกักกั้นกันไว้ในอกเพื่อไม่ให้ความเศร้าแพร่ออกไปสู่ผู้อื่นเหมือนโรคระบาด ความหวาดกลัว หวั่นระแวง ที่เกาะกุมใจจนแทบไม่อาจควบคุมสติ ลมหายใจแห่งความหม่นหมอง มืดมน มัวซัว สลดหดหู่ ไร้ความหวัง ระบาดอยู่แทบทุกบรรทัด ผู้อ่านจึงได้ซึมซับความรู้สึกสูญเสียของคนที่ถูกปล้นชิงทรัพย์สิน และความเป็นคน และเศร้าสร้อยไปกับความเจ็บปวดของคนพลัดถิ่นที่มี่แผ่นดินใต้ฝ่าเท้าให้เหยียบยืน นวนิยายเรื่องนี้บอกเราว่า ยิ่งโลกก้าวรุดไปข้างหน้า มนุษย์ก็ยิ่งถอยห่างจากความรัก ความดีงาม ความเข้าใจเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกันซึ่งเคยหลักรากอยู่ในจารีตวัฒนธรรมเก่าแก่มากยิ่งขึ้น นวนิยายเรื่องโลกประหลาดในประวัติศาสตร์ความเศร้าจึงสมควรได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 รางวัลเซเว่นบุ๊คอวอร์ด ประจำปี 2554

มหาวิหารแห่งสุวรรณภูมิ

มหาวิหารแห่งสุวรรณภูมิ ของ บัญชา อ่อนดี เป็นผลงานที่นำเสนอสังคมไทยร่วมสมัย ซึ่งประกอบด้วยความหลากหลายแตกต่างทางวิถีชีวิต วัฒนธรรม ค่านิยม และความเชื่อ ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมือง และความเปลี่ยนแปลงที่มุ่งไปสู่ “ความสุขสำเร็จรูป” ผู้เขียนเรียงร้อยภาพเหตุการณ์ โดยเฉพาะภาพวิถีชีวิตที่เรียบง่ายของผู้คนในแต่ละภูมิภาคได้อย่างมีพลังและมีชีวิตชีวา สามารถจัดวางจังหวะในการนำเสนอเนื้อหาได้สอดคล้องกลมกลืนอย่างมีเอกภาพ ไม่ต่างจากคีตนิพนธ์ที่มีความสอดประสานของท่วงทำนองได้อย่างลงตัว ผู้ประพันธ์สามารถนำเสนอเนื้อเรื่องได้อย่างมีโครงสร้างชัดเจน มีลำดับการนำเสนอเรื่องราวอย่างมีขั้นตอน โดยแบ่งเนื้อหาเป็น 3 ภาค ภาคแรก ที่เป็นมา นำเสนออดีตของสังคมไทย  ภาคที่สอง ที่เป็นไป นำเสนอความเปลี่ยนแปลงด้านการปกครองตั้งแต่ พ.ศ.2475 เป็นต้นมา และภาคที่สาม ที่คงอยู่ คือ สภาพการณ์ทางการเมืองและสังคมไทยในปัจจุบัน ผู้ประพันธ์สามารถใช้สัญลักษณ์ “มหาวิหารแห่งสุวรรณภูมิ” และลีลาทางวรรณศิลป์ซึ่งแม้จะไม่ได้เอ่ยถึงสิ่งที่ต้องการจะสื่อโดยตรงแต่ใช้การพรรณนา ทำให้ผู้อ่านเข้าใจสิ่งที่ต้องการนำเสนอได้อย่างมีประสิทธิภาพ การใช้ถ้อยคำมีความเรียบง่ายเป็นธรรมชาติไม่ประดิดประดอยจนเกินพอดี สอดคล้องกับแนวคิดสำคัญของเรื่อง  

ณ ที่ซึ่งแม่โพสพเคยสถิต

ณ ที่ซึ่งแม่โพสพเคยสถิต ของ ไพวรินทร์ ขาวงาม เป็นรวมบทกวีที่นำเสนอภาพของสังคมอีสานในยุคโลกาภิวัฒน์ ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปทุกระดับ ทั้งระดับสังคมโดยรวมและระดับวิถีชีวิตของปัจเจกบุคคล นโยบายของภาครัฐที่ยังคนเป็นว่าอีสานเป็นดินแดนด้อยพัฒนาและแห้งแล้ง จึงนำเสนอนโยบายเปลี่ยนแปลงทุ่งกุลาร้องไห้เป็นอุตสาหกรรม เป็นดินแดนกาสิโนและสวนสนุกหรือให้เป็นที่นำขยะของเมืองมาทิ้ง ผู้ประพันธ์ให้ความสำคัญกับชาวนา ซึ่งกล่าวกันว่าเป็นกระดูกสันหลังของชาติ ทำนาหล่อเลี้ยงผู้คนทั้งแผ่นดิน แต่วิถีชีวิตของชาวนาต้องยากลำบากและระทมขมขื่น สภาพท้องนาที่เคยอุดมและเป็นที่ซึ่งแม่โพสพเคยสถิตนั้น บัดนี้แปรเปลี่ยนจนแม่โพสพก็ไม่อาจสถิตอยู่ได้ ด้านวิถีชีวิต หนุ่มที่เคยมุ่งเข้าเมืองเพื่อคามหวังไปสู่ชีวิตที่ดีกว่า มาบัดนี้ พิษของสังคมทุนนิยมและเศรษฐกิจฟองสบู่ ทำให้รัฐส่งเสริมนโยบายกลับสู่ชนบท แต่เมื่อกลับไปสภาพสังคมก็ไม่เหมือนเดิมเพราะนโยบายการ “พัฒนา” สังคมเกษตรกรรมของอีสานให้กลายเป็นสังคมอุตสาหกรรม ส่วนสาวอีสานยุคโลกาภิวัฒนามุ่งแต่งงานกับชาวต่างชาติเพื่อยกระดับฐานะของตนเองและครอบครัว หมู่บ้านและบ้านอีสานในวันนี้ ผู้ประพันธ์รู้สึกราวกับว่า “ไม่มีบ้านให้กลับ” ณ ที่ซึ่งแม่โพสพเคยสถิต  ไม่เพียงให้ภาพสังคมอีสานที่แปรเปลี่ยนในภาพกว้าง แต่ยังคงเน้นการพรรณนาอารมณ์ความรู้สึกภายในของผู้คนที่รักในท้องถิ่นของตนแต่ต้องขื่นชมกับวิถีชีวิตที่แปรเปลี่ยนได้อย่างร้าวลึกสะเทือนอารมณ์ ในด้านศิลปะการประพันธ์ ด้วยลีลาที่ลื่นไหลและหลากหลาย บทกวีของไพวรินทร์มีเสน่ห์ของสีสันท้องถิ่น การผสมผสานท่วงทำนองของกลอนแบบฉบับกับรูปแบบฉันทลักษณ์ท้องถิ่น เช่น ผญาและภาษาถิ่นทำให้เกิดท่วงทำนองเฉพาะตนที่สามารถให้ภาพวิถีชีวิตจิตใจและอารมณ์ของผู้คนอีสานได้อย่างเรียบง่าย แต่คมคาย ลุ่มลึกและกินใจ

The Nature’s Soul จิตวิญญาณแห่งธรรมชาติ

เป็นนิยายภาพที่เตือนให้ตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ยังคงเป็นปัญหาใหญ่ของโลกอยู่ ดำเนินเรื่องได้น่าตื่นเต้นชวนติดตาม ลายเส้นและสีสันดูสวยงามสดใส อ่านได้เพลิดเพลิน ให้ความรู้แง่คิดเชิงสร้างสรรค์สังคม กระตุ้นให้เยาวชนมีจิตสาธารณะ คิดดีทำดีเพื่อสังคม

ภาพผ่านตา ภาษาผ่านใจ

รวบทกวี ภาพผ่านตา ภาษาผ่านใจ ของ กมล คูคีรีเขต  ผู้เขียนสามารถเรียงร้อยฉันทลักษณ์ที่หลากหลาย  ทั้งกาพย์ยานี  11 กาพย์ฉบัง 16  กลอนหก กลอนเจ็ด และกลอนแปด  ให้มีสัมผัสเชื่อมร้อยกันตลอดทั้งเล่ม  ช่วยขับเน้นความกลมกลืนของเนื้อหา จากบทแรก “ชีวิตใหม่” ไปจนถึงบทสุดท้าย “รู้กันด้วยใจ” ได้อย่างเหมาะงาม บทกวีหลายชิ้นมีเนื้อหาให้กำลังใจแก่ผู้อ่านได้เป็นอย่างดี

Walking melody II

หนังสือการ์ตูน “WALKING MELODY II” เล่มนี้เป็นผลงานที่สร้างขึ้นด้วยแรงบันดาลใจจากเพลง KAR­MA  ของนักร้องนาม “แสตมป์” (อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข) กลายมาเป็นนิยายภาพ 7  เรื่อง โดย  นักเขียน 7 คน ที่เป็นมืออาชีพรุ่นใหม่ระดับแนวหน้าที่สุดในขณะนี้ ใช้รูปแบบการสร้างงานเป็น Teamwork   มีความเป็นสมัยใหม่อย่างชัดเจน แต่ละคนจะมีแนวทางการเขียนการวาดภาพโดดเด่นในตนเอง การนำเสนอด้วยรูปแบบที่หลากหลาย แต่สามารถมุ่งสู่เป้าหมายเดียวกันได้อย่างเป็นเอกภาพ และสามารถสื่ออารมณ์ความรู้สึก ความเคลื่อนไหวของตัวละครได้อย่างดี เนื้อเรื่องเกี่ยวกับความรักของหนุ่มสาว  แสดงถึงวังวนแห่งความรักที่ประกอบด้วยกิเลสที่ไม่สามารถหลุดพ้น หากไม่สูญเสียก็ไม่รู้สึก การหนีปัญหา  การหาทางออกของวังวนความรักของตัวละครจะไม่ใช้ความรุนแรง  เหตุการณ์ของเรื่องดำเนินไปตามกรรมซึ่งอาจไม่ใช่ความรัก อาจเป็นมวลประสบการณ์ของชีวิต ในเรื่องมีองค์ประกอบของความรักหลายแบบ ทั้งรักแบบอารมณ์ รักแบบมีเหตุผล  เหตุการณ์ของเรื่องเหมือนชีวิตจริงของหนุ่มสาวปัจจุบัน  ผู้อ่านจะได้เห็นมุมมองและการแก้ปัญหาในเรื่องความรัก

หัวใจห้องที่ห้า

หัวใจห้องที่ห้าของ อังคาร จันทาทิพย์  รวมบทกวี 46 บทเรื่อง  แบ่งเป็น 2 ภาค คือ ภาคแรก หัวใจห้องที่ห้า และภาคหลัง นิทานเดินทาง  ในภาคแรก หัวใจห้องที่ห้าที่หมายถึง “ดวงใจใฝ่ฝันสันติสุข”  ผู้ประพันธ์นำเสนอเรื่องราวของสังคมไทยในมิติต่าง ๆ  เริ่มจากอดีตจนเกิดความเปลี่ยนแปลงในยุคปัจจุบันซึ่งดูจะเป็นวิวัฒนาการที่โลกและมนุษย์อาจไม่ได้ดีกว่าเดิมเพราะสังคมยังเต็มไปด้วยปัญหา ความขัดแย้งและความรุนแรงในรูปแบบต่าง ๆ และที่สำคัญคือคลื่นความขัดแย้งในสังคมที่ทำให้เกิดความแบ่งแยกแตกต่างของผู้คน ในภาคหลัง นิทานเดินทาง  ผู้ประพันธ์นำเสนอเรื่องเล่าและวิถีชีวิตของกลุ่มชนในบริบทต่าง ๆ ของสังคมไทย ทั้งตำนานแม่น้ำโขงในภาคอีสาน คนไร้บ้านในเมืองหลวง ชนกลุ่มน้อย  เช่น มอญ   กะเหรียงคอยาวและคนไร้สัญชาติโดยเชื่อมโยงเรื่องเล่าในอดีตกับวิถีชีวิตในปัจจุบันซึ่งล้วนระทมทุกข์และต้องต่อสู้ดิ้นรนในสังคมทุนนิยมและบริโภคนิยม  นิทานเดินทางของผู้คนหลากหลายคือนิทานชีวิตที่ยังคงต้องดำเนินต่อไปจนกว่าจะสิ้นสุดชีวิต ด้านกลวิธีการประพันธ์  ใช้กลอนสุภาพเป็นส่วนใหญ่  นอกจากนี้มีโคลงสี่สุภาพและกาพย์ฉบัง  นำเสนอแนวคิดปัญหาสังคมในเชิงวิพากษ์วิจารณ์เพื่อให้ผู้อ่านฉุกคิด โดยใช้เรื่องเล่าในอดีตเชื่อมโยงกับปัญหาสังคมในปัจจุบันได้อย่างมีนัยสำคัญ

บ้านในหมอก

บ้านในหมอก ของ สุขุมพจน์ คำสุขุม เป็นรวมบทกวี  39 บทเรื่อง แบ่งเป็น 2 ภาค คือ ภาคแรก บ้านในหมอก นำเสนอความเปลี่ยนแปลงของแผ่นดินถิ่นเกิดที่มีประวัติความเป็นมายาวนานตั้งแต่อดีต เปรียบเสมือนกองเกวียนโบราณที่บรรพบุรุษได้ลงหลักปักฐานในผืนแผ่นดิน  วิถีชีวิตชนบทในสมัยที่ดินยังดำ น้ำยังชุ่ม   โลกสมัยใหม่ในยุคโลกาภิวัตน์ เป็นยุคของเทคโนโลยี ทุนนิยมและบริโภคนิยมทำให้วิถีชีวิตคนชนบทเปลี่ยนแปลงด้วยเมฆหมอกของความศิวิไลซ์อันเป็นมายาคติทำให้ชาวชนบทอพยพมาศึกษาเล่าเรียนบ้าง ทำงานบ้าง ด้วยสำคัญผิดว่าคือความสุขแบบใหม่ จากกองเกวียนโบราณจึงกลายเป็นกองเกวียนจักรกลยนตรกรรม แท้จริงชีวิตในเมืองซึ่งเต็มไปด้วยตึกระฟ้าไม่ได้นำมาซึ่งความสุขและคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า ผู้ประพันธ์นำเสนอรูปธรรมของชีวิตชาวอีสานไม่ว่าจะเป็นเด็กสาวหรือคนขับแท็กซี่ที่มีวิถีชีวิตยากลำบากและจบชีวิตลงเพราะความพลาดหวัง ความยากแค้นและอาชญกรรมโดยเฉพาะอย่างยิ่งอาชญากรรมทางเพศ ในภาคหลัง หมอกในบ้าน  ผู้ประพันธ์นำเสนอปัญหาในสังคมไทยที่เปรียบเสมือนเมฆหมอกทั้งในระดับครอบครัวและระดับสังคม ในระดับครอบครัวความห่างเหินเพราะห่างไกลกันของคนในครอบครัว ชาวชนบทต้องเข้ามาทำงานในเมือง การพูดคุยไถ่ถามทางโทรศัพท์ดูเหมือนจะเป็นวิธีการเดียวในการแสดงความรักและความห่วงใยระหว่างกันในระดับสังคม  ความรุนแรงทางภาคใต้ที่คร่าชีวิตหนุ่มชนบทหนุ่มอีสานบางคนต้องไปเป็นทหารที่ภาคใต้และต้องจบชีวิตลง กลับบ้านด้วยร่างที่ไร้วิญญาณหมอกควันในสังคมอีกประการหนึ่งคือ ความขัดแย้งของผู้คนในสังคมที่แบ่งแยกแตกต่างทางความคิดกลายเป็น “บาดแผลของชาติ” ที่ผู้ประพันธ์ เรียกร้องให้ละทิ้งเงื่อนไขดังกล่าวเพื่อความสงบสุขในสังคม ด้านศิลปะการประพันธ์ ผู้ประพันธ์ใช้กลอนสุภาพเป็นส่วนใหญ่ มีกลวิธีการนำเสนอที่น่าสนใจด้วยการนำเสนอเนื้อหาเป็น 2 ภาค มีการนำเสนอเรื่องราวและปัญหารวมทั้งเสนอทัศนะและการแก้ปัญหารวมทั้งเสนอทัศนะด้วยการใช้หมอกเป็นภาพพจน์เปรียบเทียบซึ่งมีความหมายหลายนัย ด้านการเล่าเรื่องใช้การเล่าเรื่องแบบเรื่องสั้น  ยกรูปธรรมของชีวิตปัจเจกบุคคลแทนการเสนอแนวคิดอย่างตรงไปตรงมา รวมทั้งใช้ภาษาพูดและบทสนทนาดำเนินเรื่องทำให้สามารถนำเสนอเรื่องราวที่ดูจะหนักด้วยสาระและแนวคิดได้น่าอ่าน ชวนคิดและชวนติดตาม

จากวันจันทร์ของชีวิต… วันศุกร์ต้องมาถึง

จากวันจันทร์ของชีวิต…วันศุกร์ต้องมาถึง เป็นบันเทิงคดีแนวสมจริงที่สะท้อนสังคมและชีวิตของวัยรุ่นที่ประสบปัญหาความไม่เข้าใจและความรุนแรงในครอบครัว จนเก็บกดและผลักดันให้ขาดสติก่อให้เกิดอุบัติเหตุมีผู้เสียชีวิต จนต้องรับโทษในสถานกักกัน เป็นประดุจสินค้ามีตำหนิ แต่ความเป็นคนดี กำลังใจและการช่วยเหลือจากผู้ใหญ่ที่เข้าใจและหวังดี  ก็ช่วยให้เขากลับมาเดินบนเส้นทางชีวิตปกติได้ในที่สุด ผู้แต่งนำเสนอเรื่องราวสะเทือนอารมณ์ผ่านประสบการณ์ชีวิตของ    ‘ฝาย รั้วรัก’ เด็กหนุ่มในครอบครัวฐานะปานกลางผู้มีจิตใจดี รักธรรมชาติ บทกวีและดนตรี แต่การมีครอบครัวที่ไม่อบอุ่น บิดาใช้ความรุนแรงตัดสินปัญหาต่าง ๆ โดยเฉพาะการไม่ยอมรับความสนใจของลูกชายที่ต่างไปจากความมุ่งหวังของตนเอง สร้างความผิดหวัง เสียใจแก่ฝายอย่างมากและกลายเป็นความเก็บกด    และถึงที่สุดเมื่อถูกพ่อด่าว่า ส่องไฟฉายใส่หน้าและเผาทำลายสมุดจดบทเพลงที่เขาแต่งด้วยความรักและความตั้งใจ ทำให้ฝายขาดสติเมื่อเผชิญกับเหตุการณ์ที่มีรถส่องไฟใส่ขณะที่เขาขี่จักรยานหนีความรุนแรงของพ่อไปบ้านยาย จึงระบายอารมณ์โกรธด้วยการขว้างก้อนหินจนเกิดอุบัติเหตุร้ายแรง มีผู้เสียชีวิตและเป็นโศกนาฏกรรมในชีวิตของตนเอง ทำให้ต้องเข้าไปอยู่ในสถานกักกัน ‘บ้านรั้วรัก’ เป็นเวลานานกว่าสามปี ด้วยพื้นฐานที่เป็นคนดีฝายสำนึกผิดและยอมรับโทษด้วยความอดทน ในขณะเดียวกันก็ศึกษาต่อทางไกล ประพฤติตนดี ยึดมั่นในความถูกต้องและช่วยเหลือผู้อื่นเสมอ ในช่วงเวลาแห่งความทุกข์นั้นฝายอยู่อย่างมีความหวัง โดยสร้างนาฬิกาแห่งความหวังและการรอคอยด้วยการเก็บใบไม้แทนแต่ละวันสะสมไว้ใต้หมอน   ฝายรักและรอคอยวันศุกร์โดยเฉพาะวันศุกร์สิ้นเดือนซึ่งเขาจะได้พบแม่ผู้เป็นที่รักยิ่ง ชีวิตของฝายในช่วงที่อยู่บ้านรั้วรักจึงเปรียบเสมือนวันจันทร์ของชีวิต…ไม่ว่าจะยาวแค่ไหนวันศุกร์ต้องมาถึงจนได้ อันเป็นที่มาของชื่อเรื่อง แล้วในที่สุดด้วยผลแห่งการประพฤติดีเขาก็ได้รับอิสรภาพก่อนกำหนดหลายเดือนเมื่อฝายก็ได้กลับไปมีชีวิตปกติ เขาเป็นนักร้องอาชีพ ดูแลแม่ซึ่งแยกทางกับพ่อแล้วอย่างดี บวชทดแทนคุณพ่อแม่ อุปถัมภ์น้องบุญธรรมซึ่งเป็นลูกสาวของผู้เสียชีวิตในอุบัติเหตุที่ฝายเป็นต้นเหตุ และบำเพ็ญประโยชน์แก่สังคมตามโอกาส  

ภาพยนตร์ที่ถ่ายทำตลอดชีวิต

ภาพยนตร์ที่ถ่ายทำตลอดชีวิต เป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นขนาดยาว 8 เรื่อง  ซึ่งสะท้อนภาพสังคมไทยในยุคสมัยที่เต็มไปด้วยความยอกย้อนสับสนได้อย่างเด่นชัดและน่าสนใจ  ในเรื่องสั้นแต่ละเรื่อง ดูเสมือนว่าเส้นแบ่งระหว่างความดีกับความเลว ความถูกและความผิด ภาพจริงและภาพมายา  ล้วนถูกผู้เขียนลบเลือน     ทำให้ผู้อ่านต้องเพ่งพินิจและตีความที่แฝงอยู่ระหว่างบรรทัด ผู้เขียนใช้กลวิธีเล่าเรื่องที่หลากหลายมีชั้นเชิง  เช่น การผูกร้อยเรื่องราวผ่านบทสนทนาและพฤติกรรมที่ดูไร้สาระของตัวละคร  การนำเรื่องแต่งของตัวละครมาสอดสลับกับเรื่องเล่าของผู้เขียน  การใช้ภาพเหนือจริงซ้อนทับลงบนภาพจริง ฯลฯ แต่ในขณะเดียวกันก็ยังสร้างความรู้สึกสมจริงและอารมณ์สะเทือนใจให้แก่ผู้อ่านด้วย หนังสือรวมเรื่องสั้น ภาพยนตร์ที่ถ่ายทำตลอดชีวิต จึงสมควรได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 รางวัลเซเว่นบุ๊คอวอร์ด ประเภทรวมเรื่องสั้น ประจำปี พ.ศ. 2555

ในอ้อมกอดกาลี

นวนิยายเรื่องนี้แสดงความร่วมสมัยด้วยการสะท้อนภาพสังคมไทยในปัจจุบันที่ทุกจุดและทุกส่วนกำลังจ่อสู่ปัญหา   ผู้เขียนสร้างตัวละครชุดหนึ่งขึ้นมาเป็นตัวแทนของบุคคลในกลุ่มปัญหาเหล่านั้น  อันได้แก่ วัยรุ่นที่สถาบันครอบครัวล่มสลาย  นายทุนผู้ล้มเหลวในธุรกิจและชีวิต   ข้าราชการตกอยู่ในร่างแหอันยุ่งเหยิงของการใช้อำนาจ  และชาวบ้านผู้งมงายและยากแค้นอยู่กับการหาเช้ากินค่ำ   ตัวละครเหล่านี้ต่างถูกครอบงำด้วยกลไกอำนาจรัฐ   อำนาจทุนนิยมและอำนาจธรรมชาติ  ราวกับถูกโอบล้อมไว้ด้วยอ้อมกอดกาลี  ทางแก้ทางเดียวที่ผู้เขียนเห็น  แต่สิ้นหวังเสียแล้วในเรื่องนี้ก็คือ ความรักที่มนุษย์พึงมีต่อกัน   ความโดดเด่นของเรื่องนี้ไม่เพียงแต่อยู่ที่ความเข้มข้นของเนื้อหาความจริงอันน่าตระหนกตกใจ  แต่ยังอยู่ที่กลวิธีของนวนิยายคล้ายสืบสวนสอบสวนแต่กลับปิดฉากด้วยปรากฏการณ์ธรรมชาติได้อย่างสมจริงและสะท้านใจ  

บัว 4 เหล่า เรา 4 คน

ผู้เขียนสามารถนำหลักธรรมบางข้อมาปรับเป็นนิยายภาพได้อย่างคมคาย ดำเนินเรื่องได้กลมกลืนกับเป้าหมาย ลายเส้นสวยงามตัวละครมีเอกลักษณ์

คำจีนสยาม

ผ่าน 580 คน ซึ่งเป็นลูกผสมระหว่างการดำรงอยู่ร่วมกันของคนไทยกับคนจีน บริบทของสังคม-วัฒนธรรมอันเปี่ยมพลวัตรก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า คำที่ผู้เขียนรวบรวมและเพียงค้นคว้าอย่างรอบด้านนี้ ทำหน้าที่คล้ายกระจกส่องให้เห็นการปะทะสังสรรค์และส่งอิทธิพลของวัฒนธรรมจีนต่อวัฒนธรรมไทย นำไปสู่ความเข้าใจสังคมและเพื่อนร่วมสังคมอย่างถ่องแท้มากขึ้น และด้วยลีลาเฉพาะตัวของผู้เขียน สารคดีเล่มนี้จึงมีกลิ่นอายของความเป็นงานวิชาการที่เปี่ยมด้วยวรรณศิลป์ มีสำนวนโวหารที่น่าอ่าน และสร้างความเพลิดเพลินในการติดตาม

แต่กี้ แต่ก่อน

แต่กี้ แต่ก่อน เป็นเรื่องราวของพิม ลูกสาวชาวสวนริมคลองลุ่มแม่น้ำบางปะกง ชีวิตผูกพันอยู่กับลำคลองและสวน ตั้งแต่วัยเด็กได้รับการอบรมให้ปฏิบัติตนอยู่ในกรอบที่ดีงาม ได้รับการฝึกหัด ขัดเกลา ให้ทำงานเป็น รู้จักช่วยงานพ่อแม่ ขยัน และอดทน ชีวิตวัยเด็กซุกซนแก่นแก้วตามประสาเด็ก เมื่อเรียนจบ ม.6 ไม่ได้เรียนหนังสือต่อ พิมเสียใจแต่ก็เข้าใจถึงความจำเป็นที่ต้องช่วยงานทางบ้าน แต่ไม่อยากทำให้พ่อแม่ไม่สบายใจจึงไม่คัดค้านการตัดสินใจของพ่อแม่ แต่ด้วยมีนิสัยรักการอ่านพิมอ่านหนังสืออย่างสม่ำเสมอแม้ไม่ได้เรียนแล้ว เมื่อเติบโตมีครอบครัวใช้ชีวิตคู่กับเริ่มอย่างเรียบง่าย หาเลี้ยงครอบครัวด้วยการทำสวน เลี้ยงไก่ ทำขนมขาย ฝ่าฟันอุปสรรคนานัปการ ไม่เคยย่อท้อ พยามยามสร้างวิกฤตเป็นโอกาสเสมอ นำความรู้จากการอ่านมาประยุกต์ใช้กับอาชีพได้อย่างเหมาะสม ด้วยความขยันหมั่นเพียร ชีวิตครอบครัวของพิมจึงอยู่อย่างพอเพียง ไม่ขัดสน และด้วยจิตใจที่ดีงาม ความกตัญญูของพิมต่อบุพการี ส่งผลให้ลูก ๆ มีความกตัญญูต่อพิมเช่นกัน ผู้เขียนถ่ายทอดเรื่องราววิถีชีวิตชาวสวนริมคลองในอดีตเมื่อสมัย 50 ปีก่อนได้อย่างละเอียดชัดเจน  ผู้อ่านได้รับรู้เรื่องราววิถีชาวสวน จนรู้สึกเสียดายบรรยากาศเก่า ๆ  ที่ไม่อาจหวนคืนมาได้ดั่งเช่นในอดีต “พิม” ตัวเอกของเรื่องแสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็ง อดทน สู้ชีวิต เป็นแบบอย่างของการใช้ชีวิตที่ดีงาม น่ายกย่องชื่นชม

เต้นรำไปบนท่อนแขนอ่อนนุ่ม

เต้นรำไปบนท่อนแขนอ่อนนุ่ม โดย นทธี ศศิวิมล เป็นหนังสือรวมเรื่องสั้น 8 เรื่อง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงมุมมองต่าง ๆ เกี่ยวกับผู้หญิงในมิติหน้าที่ที่แตกต่างกัน สภาพสังคมและความเป็นไปของชีวิต ผ่านบทบาทของตัวละครในฉากเล็ก ๆ แคบ ๆ และธรรมดา แต่ภาพที่ปรากฏกลับมีแง่มุมที่น่าสนใจและชวนให้ขบคิด ผู้เขียนถ่ายทอดเรื่องราวต่าง ๆ ได้ชวนอ่าน ชวนติดตาม ด้วยสำนวนที่ละเมียดละไม บางเรื่องให้ความสะเทือนใจสูง โดดเด่นในด้านอารมณ์และความรู้สึก เช่น เรื่อง “เต้นรำไปบนท่อนแขนอ่อนนุ่ม” เรื่องสั้นในหนังสือเล่มนี้มีโครงเรื่องที่หลากหลาย ผู้เขียนใช้ศิลปะในการเล่าเรื่องที่ต่างกัน ซึ่งนำผู้อ่านไปสัมผัสความรัก ความชัง ความทุกข์ ความสุข ความเจ็บปวด และการดิ้นรนเพื่อจะมีชีวิตอยู่ของตัวละครอย่างลึกซึ้ง รวมเรื่องสั้น “เต้นรำไปบนท่อนแขนอ่อนนุ่ม” จึงสมควรได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 รางวัลเซเว่นบุ๊คอวอร์ด ประเภทรวมเรื่องสั้น ประจำปี 2556

เส้นทางนักรบ

หนังสือนิยายภาพชุดนี้ (10 เล่ม) เป็นผลงานที่สร้างสรรค์ขึ้นจากอัตตชีวิตประวัติของพระพรหมมังคลาจารย์ (ปัญญานันทภิกขุ) โดย ศักดา วิมลจันทร์ นิยายภาพชุดนี้มีการดำเนินเรื่องที่สนุกสนานชวนติดตาม บทรัดกุมชัดเจน มีการสร้างตัวละครมีประกอบเสริมเรื่องได้สมเหตุสมผล ทั้งมีส่วนขับเน้นให้แก่น ของเรื่องมีความชัดเจน ฝีมือการวาดภาพได้มาตรฐาน และมีอัตลักษณ์เฉพาะตัวที่มีความเป็นไปไทย การดำเนินเรื่องด้วยภาพทำได้อย่างต่อเนื่องคมคาย แสดงอารมณ์ของตัวละครได้อย่างสอดคล้องกับเหตุการณ์แต่ละช่วงได้ดีพอสมควร ภาพรวมของนิยายภาพชุดนี้แสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตของคนชนบทภาคใต้ในช่วงเวลาประมาณ 80 ปีที่ผ่านมา โดยแทรกความรู้ด้านศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านเกี่ยวกับขนบธรรมเนียมประเพณี การละเล่น อาหารการกิน โดยเฉพาะนิยายภาพเรื่องนี้สามารถสื่อให้ผู้อ่านได้ตระหนักถึงวิถีแห่งพระพุทธศาสนา คุณธรรม และจริยธรรม

รุสนี

มนตรี ศรียงค์ ได้ประมวลเอาความรู้สึกจากปัญหาความขัดแย้งและความรุนแรงอันยืดเยื้อในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้มาสร้างสรรค์เป็นนวนิยายเรื่อง รุสนี ผู้เขียนเล่าเรื่องสะเทือนอารมณ์ฯผ่าน รุสนี และ เยาะยาห์ ชาวไทยมุสลิมจากการเป็นผู้เฝ้ามอง จนเป็นผู้ถูกกระทำเสียเอง แม้ย้ายออกนอกพื้นที่ความขัดแย้งทางการเมือง แต่ก็ยังพบกับปัญหาสังคมอื่น ๆ อีก ไม่ว่าจะได้รับความช่วยเหลือจากไทยมุสลิมหรือไทยพุทธ ปัญหาก็ไม่อาจคลี่คลายลงได้ ความเกลียดชังบ่มเพาะมาจากความหวาดระแวง และความหวาดระแวงส่งผลให้เกิดความเกลียดชังหนักยิ่งขึ้นไปอีก ความเกลียดชังยังนำไปสู่ความรุนแรง และความรุนแรงก็ยิ่งทำให้ความเกลียดชังกันมากขึ้น วงจรอุบาทว์นี้ทับซ้อนจนยากจะแยกออกจากกันได้ สันติจึงไม่อาจเกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง มนตรี ศรียงค์ สามารถนำเสนอให้ผู้อ่านสะเทือนอารมณ์ไปกับชะตากรรมของตัวละครโดยมิได้พิพากษาหรือมีทีท่าโน้มเอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง และทิ้งสารอันหนักหน่วงไว้ให้ผู้อ่านคิดต่อ