ผลรางวัล

รางวัลรองชนะเลิศอันดับหนึ่ง

  • Home
  • รางวัลรองชนะเลิศอันดับหนึ่ง

รางวัลรองชนะเลิศอันดับหนึ่ง

ปลายทางของเขาทั้งหลาย

เป็นรวมบทกวีที่มีเนื้อหาโดดเด่น  เกี่ยวกับเรื่องสำคัญของสังคม  เช่น  มรดกของแผ่นดินที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมทางภูมิปัญญาและทรัพยากร  เรื่องของศาสนาในระดับปรัชญา  และแก่นพุทธธรรม  เรื่องของคติความเชื่ออันมีผลต่อวิถีชีวิต  ความเปลี่ยนแปลงและความพลัดพราก  สูญเสีย  ล้วนเป็นเรื่องใหญ่ระดับโครงสร้างของสังคมทั้งสิ้น กวีได้นำเสนออย่างมีเสน่ห์  ในมุมมองของนักโบราณคดีประวัติศาสตร์  ด้วยท่าทีของนักวัฒนธรรมและด้วยกลวิธีตั้งคำถามที่ท้าทายให้เราได้ฉุกใจได้คิดถึงปฏิกิริยาของสังคมว่าจะพึงสะใจกับการตั้งคำถามหรือการค้นหาคำตอบ  อันนำไปสู่ทางสองแพร่งคือ นำไปสู่หายนะธรรมหรือนำไปสู่อารยะธรรม

การลุกไหม้ของ ความมืด

การลุกไหม้ของความมืด เป็นรวมบทกวีที่เนื้อหาส่วนใหญ่กล่าวถึงเรื่องราววิกฤตของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของเรา อันเป็นปัญหาฉกาจฉกรรจ์ที่ยังดำเนินอยู่จนวันนี้ กวีได้สะท้อนถึงเรื่องราวความสูญเสียของทั้งสองฝ่ายที่ขัดแย้งกัน  รวมถึงผู้เคราะห์ร้ายผู้บริสุทธิ์  และผู้ถูกกระทำให้กลายเป็นเหยื่อของสถานการณ์เลวร้ายนั้น  ด้วยอารมณ์และความรู้สึกลึกซึ้งสะเทือนใจ  เรียกร้องต่อมโนธรรมสำนึกของเพื่อนร่วมแผ่นดินให้ได้ร่วมรับรู้ถึงความแตกร้าวทางมนุษยธรรมอันเป็นเรื่องที่ร้าวลึกกว่าความแตกต่างและแตกแยกทางมนุษยชาติตามปรากฏการณ์ที่เรารับรู้จากข่าวสารเพียงเท่านั้น ต่อสถานการณ์เลวร้ายเช่นนี้เรายังจะเมินเฉยต่อเคราะห์กรรมของเพื่อนร่วมแผ่นดินอยู่ได้อย่างไรหรือ  นี่คือคำถามที่อยู่ใน “การลุกไหมของความมืด”  ของศิริวร  แก้วกาญจน์

เมดูซา… ของขวัญจากสายน้ำ

เป็นเรื่องของเด็กชายจากสังคมเมืองที่ต้องไปอยู่ชนบทเพื่อรักษาโรคตามแนวธรรมชาติบำบัด ทำให้เขาเรียนได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ จากสังคมชนบทที่สงบเงียบและอบอุ่น มีกลวิธีการเขียนที่ดีสามารถแทรกสาระความรู้ได้อย่างแยบยล เป็นการสร้างจิตสำนึกการอนุรักษ์ธรรมชาติและแหล่งเรียนรู้ทางธรรมชาติได้เป็นอย่างดี

พญาอินทรี

พญาอินทรีเป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นที่มีเนื้อหาหลากหลาย จากข้อมูลร่วมสมัยในมุมมองของนักหนังสือพิมพ์ ผู้ประพันธ์นำเสนอความเป็นไปและปัญหาของผู้คนต่างชนชั้นที่เกิดขึ้นในสังคม ทั้งด้านการเมือง วิทยาศาสตร์ และชีวิตได้อย่างสร้างสรรค์น่าสนใจด้วยกลวิธีการนำเสนอที่ชวนติดตามตั้งแต่ต้นจนจบ ในภาพรวม เรื่องสั้นในหนังสือ “พญาอินทรี” สามารถสื่อแนวคิด อารมณ์และความรู้สึกได้เข้มข้นจริงจัง ด้วยสำนวนโวหารที่มีสีสันมีชีวิตชีวาและทรงพลัง ทำให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจเรื่องและเห็นภาพได้กระจ่างชัด

ที่เกิดเหตุ

ผู้เขียนเข้าไปเก็บข้อมูลในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ในพื้นที่เสี่ยงภัยด้วยตัวเองเป็นเวลานาน 1 ปีเต็ม ถือเป็นการเก็บข้อมูลงานสารคดีที่ต้องอุทิศตัวมาก ความโดดเด่นสำหรับหนังสือเล่มนี้คือ การมุ่งถ่ายทอดชีวิตของผู้คนในแง่มุมที่ลึกซึ้ง พร้อมกับกลวิธีการเขียนที่มีวรรณศิลป์สะเทือนใจ และผู้เขียนยังแสดงความสามารถเล่ารายละเอียดปลีกย่อยอย่างระทึกใจ น่าอ่านและชวนติดตาม จึงสร้างความเข้าใจในระดับลึกซึ้งต่อปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้เป็นอย่างดี

ในวารวัน

ในวารวัน ผลงานของปิยะพร ศักดิ์เกษม เป็นนวนิยายอิงประวัติศาสตร์ที่กำหนดกรอบเวลาตั้งแต่พุทธศักราช 2445 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จนถึงพุทธศักราช 2486 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลกินระยะเวลารวม 4 แผ่นดิน หากแต่เป็น “สี่แผ่นดินฉบับบางปลาสร้อย” เพราะในวารวันเป็นเรื่องราวของประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ชุมชนบางปลาสร้อย จังหวัดชลบุรี ที่ผู้เขียนเล่าผสานไปกับชีวประวัติของแม่วัน ตัวละครเอก ซึ่งเป็นศูนย์กลางของเรื่อง แม่วันเป็นตัวละครที่เป็นแบบฉบับของคนดีที่สมบูรณ์แบบ เพราะพูดดี คิดดี ทำดี ซื่อสัตย์ ขยัน มัธยัสถ์ อดทน ตลอดเวลาตั้งแต่เด็กจนเป็นผู้ใหญ่ ทั้ง ๆ ที่ชีวิตของแม่วันต้องเผิชญกับความทุกข์ยากทั้งทางกายและใจอย่างมากมายจากแม่เลี้ยงและพี่น้องต่างมารดา ซึ่งทั้งด่าว่าเสียดสี โกงสมบัติ ขโมยทอง ปองร้อยหมายข่มขืน  จนถึงโพนทะนาให้เสียชื่อ แม่วันลูกกำพร้ากลับเป็นเหมือนเหล็กทนไฟ ยิ่งทุกข์ยิ่งแข็งแกร่ง สามารถเลี้ยงชีวิตตามลำพังหลังย่ายายตายด้วยการรับจ้างทำงานทุกอย่างโดยไม่รังเกียจ คุณความดีของแม่วันได้รับการตอบสนองในที่สุด ได้แต่งงานกับผู้ชายที่ดี สร้างฐานะได้มั่นคง สุดท้ายสามีเสียชีวิตไปก่อน แม่วันก็เป็นผู้หญิงเก่งที่สามารถดูแลลูก ๆ บริวารและกิจการอาชีพได้อย่างไม่บกพร่อง ส่วนแม่เลี้ยงและพี่น้องต่างมารถาทั้งของฝ่ายแม่วันและนายเทิดสามีต่างก็มีชีวิตตกต่ำ พินาศฉิบหายไปตามกรรม นวนิยายเรื่องนี้จึงมีแก่นเรื่องแสดงให้เห็นว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว หรือคนดีย่อมตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ การสร้างตัวละครเป็นคนดี คนชั่ว ชัดเจน ก็จัดเป็นตัวละครแบบฉบับเช่นเดียวกับแก่นเรื่อง แต่จุดเด่นของนวนิยายเรื่องนี้อยู่ที่การสอดร้อยประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเข้าไปในเนื้อหาเรื่องราวของตัวละครได้อย่างกลมกลืน  ทั้งเรื่องประเพณี อาชีพ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ตำนานสถานที่  โบราณสถาน ตลอดจนเหตุการณ์สำคัญในช่วงเวลาต่าง ๆ เช่น การเสด็จประพาสบางปลาสร้อยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีพระบรมราชินีเสด็จประพาสเมืองชลบุรี เป็นต้น ในวารวันจึงบันทึกอดีตไว้ เป็นนวนิยายที่ให้อรรถรสและมีวรรณศิลป์

Doll

เนื้อหาเป็นแนว Fantasy ที่เป็นที่นิยมของวัยรุ่น โครงเรื่องแปลกให้แง่คิดดี การวาดเส้นและจัดภาพทันสมัยเนื้อหามีสาระ สร้างสรรค์สังคม ผู้วาดสร้างเรื่องเป็นตำนานของชายที่ชอบชิงหัวใจเด็กไม่ดีไปสะสมเป็นตุ๊กตา ตัวเอกของเรื่องชื่อ “เฮดจ์” เป็นเด็กที่อยู่คนเดียวเพราะพ่อแม่อยู่ต่างประเทศ จึงอยู่แบบ “ใช้ชีวิตเพื่อตัวเองไม่เคยคิดช่วยเหลือใคร ขวนขวายในสิ่งที่ตนเองอยากได้ก็เพียงพอ…ชีวิตใครคนนั้นก็ต้องดูแลเอง ทำไมต้องใส่ใจคนอื่นด้วยล่ะ” และเมื่อ “เฮดจ์” เฉยเมยไม่ใยดีต่อความเดือดร้อนของผู้อื่นซึ่งเกิดต่อหน้าต่อตา ทำให้ชายผู้ชอบสะสมตุ๊กตาตามตำนาน ปรากฏตัวขึ้นและชิงเอาความสามารถในการมองเห็นและได้ยินของ “เฮดจ์” ไปเพื่อเขาจะได้ไม่ต้องเห็นและได้ยินสิ่งที่เกิดตรงหน้าด้วยเหตุนี้ “เฮดจ์” ซึ่งมองไม่เห็นและไม่ได้ยินจึงกระทบกระทั่งกับคนรอบข้างจนถูกผลักล้มเกือบถูกรถชนดีที่ว่ามีสาวน้อยคนหนึ่งมาช่วยไว้ พร้อมเตือนสติว่าการช่วยเหลือคนโดยไม่ต้องรอให้ร้องขอเป็นสิ่งดี ๆ ของชีวิต ทำให้ชีวิตคุ้มค่า จากการเตือนสตินี้เองทำให้ “เฮดจ์” ได้สำนึกสามารถกลับมามองเห็นและได้ยินอีกครั้งหนึ่งและไม่ต้องตกไปเป็นตุ๊กตาของชายในตำนาน ซึ่งแท้ที่จริงแล้วสาวน้อยที่มาช่วย “เฮดจ์” และเตือนสติเขาก็คือ ตุ๊กตาของชายในตำนานผู้ชอบสะสมตุ๊กตานั่นเอง

เส้นสีของชีวิต

เส้นสีของชีวิต  ของ อนุวัฒน์ แก้วลอย  เป็นกวีนิพนธ์สะท้อนเส้นทางชีวิตและความเข้าใจชีวิตของผู้เขียน  แทบทั้งหมดแต่งเป็นกลอนสี่สุภาพจบในบท  ยกเว้น 1 บท แต่งเป็นโคลง   แบ่งออกเป็น 4 ภาคคือ รากเหง้าเมื่อเยาว์วัย  จากฟืนไฟและเรี่ยวแรง   วิถีที่เปลี่ยนแปลง และมีแสงธรรมเมื่อบั้นปลาย  ผู้เขียนสะท้อนประสบการณ์ชีวิต  และแสดงความเข้าใจชีวิตผ่านบทกวี  แสดงให้เห็นความรัก  และอารมณ์อันละเอียดอ่อนที่มีต่อผู้คนและสรรพสิ่งรอบข้าง  มีความจริงใจ  และพร้อมส่งกำลังใจให้คนรอบข้าง ผู้เขียนสามารถแต่งกลอนได้ตามขนบ  มีสำนวนโวหารงดงาม

หญิงชรา

หญิงชรา  ของกิติวัฒน์  ตันทะนันท์  เป็นรวมเรื่องสั้นจำนวน 9 เรื่อง  ที่สะท้อนปัญหาเกี่ยวกับวิถีชีวิตของคนหนุ่มสมัยใหม่  ซึ่งเต็มไปด้วยความสับสน และต้องต่อสู้อย่างหนักกับการเรียนรู้จักตนเองและรู้จักผู้อื่นที่อยู่รายรอบ  รวมทั้งพยายามทำความเข้าใจปัญหาสังคมที่ซับซ้อนด้วย  ประเด็นที่ผู้เขียนทำได้ดีที่สุดเป็นเรื่องของพยายามทำความรู้จักและเข้าใจคนชรา  ซึ่งเป็นภาพสะท้อนของอดีตและรากเหง้าวัฒนธรรมของตนเอง   ผู้เขียนเลือกใช้วิธีนำเสนอหลากหลาย  ทั้งการเล่าเรื่องตรงไปตรงมา  บางครั้งก็สร้างสัญลักษณ์ขึ้นมาอธิบาย  แต่บางครั้งก็ใช้การเปรียบเทียบ และบางครั้งเสียดสีและเยาะหยันทั้งตัวเองและสังคม  โดยใช้ความดิบ และอารมณ์ที่ยังไม่กลั่นกรองของคนหนุ่มเป็นตัวสื่อ

ต.ตุ่น ตุ๊ต๊ะผจญภัย เล่ม 1

ผู้วาดการ์ตูนเล่มนี้มีฝีมือดีมากทั้งด้านการสร้างตัวการ์ตูน สร้างฉาก ให้สี และจัดรูปเล่ม จินตนาการสร้างเรื่องได้สนุกสนานดูตื่นเต้นได้ทุกหน้าทุกตอน และยังให้สาระประโยชน์อีกด้วย เป็นหนังสือที่อ่านได้ทุกเพศทุกวัยโดยเฉพาะเยาวชน เพราะรูปแบบที่สวยงาม เนื้อหาที่ไม่มีพิษภัย ทั้งยังสามารถเป็นต้นแบบให้ผู้สนใจวาดการ์ตูน ยึดถือเป็นตัวอย่างการทำงานได้ การ์ตูนเล่มนี้ เป็นเรื่องราวของครอบครัวตัวตุ่น พ่อแม่และลูกอีก 2 ตัว เรื่องที่เด่นของเล่มนี้คือเรื่องแรก เป็นตอนที่ พ่อตุ่นและลูกอีก 2 ตัวไปขุดหาอาหารที่ใต้ดินจนได้พบแตงโมลูกมหึมา จึงนำมาเป็นอาหาร และยังมีเหลือ ลูกตุ่นที่ชื่อตาลได้นำไปแบ่งให้ช้างที่หิวโหยที่อยู่บนดิน จนแตงโมเหลือน้อย แต่พ่อแม่ก็ไม่ดุว่ากลับชมลูกว่ารู้จักแบ่งปัน เมื่อเวลาผ่านไปขณะที่ครอบครัวตุ่นกำลังผจญกับการขาดแคลนอาหาร ก็ได้พบว่าบนดินเหนือบ้านตัวตุ่นมีแตงโมขึ้นงอกงามเต็มไปหมด ก็เนื่องมาจากเจ้าช้างที่หิวโหยได้ถ่ายมูลที่เต็มไปด้วยเมล็ดแตงโมไว้นั่นเอง พ่อตุ่นจึงบอกลูกว่านี่แหละเป็นผลจากการรู้จักการให้ของลูก

มิตรภาพสองฝั่งโขง

เป็นเรื่องราวของความผูกพันระหว่างเด็กชายกลุ่มหนึ่ง ที่จังหวัดทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือริมฝั่งแม่น้ำโขงซึ่งเติบโตมาด้วยกัน  เด็ก ๆ กลุ่มนี้มีหลายเชื้อชาติ ทั้งไทย ญวน จีน ลาว แม้มีความขัดแย้งกันบ้าง แต่ทุกคนก็รัก และสามัคคีกันโดยมีกีฬาฟุตบอลเป็นสื่อกลาง เมื่อทีมฟุตบอลของพวกเขามีความสามารถมากขึ้น จึงมีการจัดแข่งขันฟุตบอลเพื่อเชื่อมความสามัคคีระหว่างเยาวชนไทย-ลาว ขึ้น ในการแข่งขันจึงมีทั้งความขัดแย้งด้วยความรักเชื้อชาติ และความต้องการเอาชนะ แต่สุดท้ายด้วยความตระหนักใน “มิตรภาพ” และความยึดมั่นในสิ่งเดียวกัน ทั้งสองฝ่ายจึงปรองดองกันได้   ผู้ประพันธ์ ผูกเรื่องราวขึ้นได้อย่างสมจริงตามธรรมชาติของวัยรุ่นที่ชื่นชอบการเล่นฟุตบอล และสามารถนำเสนอกติกาการเล่นสอดแทรกไปในเนื้อเรื่องอย่างกลมกลืน  ด้วยภาษาที่สละสลวยสอดคล้องกับเนื้อเรื่องและตัวละคร ตลอดจนสร้างอารมณ์ของเด็ก ๆ ผู้เล่นกีฬาได้อย่างสมจริง

บันทึกสี่เท้า จากหัวใจผู้ไร้บ้าน

เป็นเรื่องราวของลูกสุนัข ชื่อ ซีเปีย ที่คนงานก่อสร้างนำมาเลี้ยง แต่เมื่อย้ายบ้านก็ทิ้งมันไว้ มันจึงเฝ้าคอย และรู้ว่าถูกทิ้ง จึงต้องผจญภัยไปตามลำพัง จนกระทั่งได้พบกับสุนัขใจดีที่ช่วยเหลือให้พ้นอันตรายจากสุนัขจรจัด และได้ไปอาศัยอยู่กับบ้านคนใจดี ที่รับเลี้ยงสุนัขไว้หลายตัว และรักสัตว์เลี้ยงเหมือนลูก ซีเปีย ได้รับการดูแลอย่างดี และมันก็ทำตัวให้มีประโยชน์ และช่วยเหลือสุนัขของเพื่อนบ้านที่ถูกขโมยไป  มันคิดฝันว่าจะเป็นสุนัขตำรวจ  ซีเปียสามารถช่วยเหลือสุนัขเหล่านั้นได้สำเร็จ แม้จะบาดเจ็บสาหัส แต่ก็รอดชีวิตมาได้ จึงชนะใจทุกคนแม้แต่เพื่อนบ้านที่เคยไม่ชอบมัน   ผู้ประพันธ์ สามารถบอกเล่าเรื่องราว และความรู้สึกของสัตว์เลี้ยงที่ถูกทอดทิ้งได้ดี ภาษาราบรื่น สละสลวย และเหมาะกับสถานการณ์ในเรื่อง มีอารมณ์คล้อยตามในขณะอ่าน แสดงให้เห็นถึงความรัก ความเมตตาของคนที่มีต่อสัตว์เลี้ยง ภาพประกอบสวยงาม ตรงตามเนื้อหา และสื่ออารมณ์ของตัวละครได้ดี

ด้วยปีก…และถั่วพู

ด้วยปีก…และถั่วพู เป็นเรื่องของ “พู่กัน” เด็กหญิงวัย 4-5 ขวบ ในครอบครัวที่พรั่งพร้อมด้วย พ่อ แม่ และญาติผู้ใหญ่ในชนบทภาคใต้ ซึ่งแวดล้อมด้วยธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ และสดชื่นงดงาม ทำให้เด็กหญิงผู้ที่มีชีวิตที่อบอุ่น เป็นสุขและมีพัฒนาการที่ดีทั้งทางร่างกายและอารมณ์   ผู้เขียนนำเสนอเรื่องราวที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น น่ารักด้วยสำนวนภาษาที่สละสลวย เป็นธรรมชาติ ชวนติดตาม สอดแทรกสาระ และความรู้สึกที่เกี่ยวข้องได้อย่างแนบเนียน ทั้งในเรื่องการอบรมดูแลเด็ก สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ พืชพันธุ์ไม้และสัตว์ ทั้งยังเสนอภาพชีวิตของคนในท้องถิ่น ซึ่งแม้มีความแตกต่างทางศาสนาและวัฒนธรรม แต่ก็ยังอยู่ร่วมกันอย่างเป็นมิตรและมีความสุขได้

อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง

อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง เป็นหนังสือรวมเรื่องสั้น ที่สะท้อนภาพสังคมไทยว่ายังอยู่ในช่วงเวลาแห่งการก่อสร้าง เพื่อให้เป็นสังคมที่สมบูรณ์ในอนาคต ผู้แต่งเน้นให้เห็นปัญหาขณะ “ก่อสร้าง” ว่าเต็มไปด้วยอุปสรรคนานัปการ ต้องอาศัยระยะเวลา สติปัญญา พลังความคิดและจิตสำนึกของสมาชิกในสังคม ผู้แต่งนำเสนอเนื้อหาอันหลากหลาย ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาที่เห็นและเป็นอยู่ แต่มักถูกมองผ่านเลยอย่างไม่ใส่ใจอย่างจริงจัง โดยนำมาเสนอด้วยกลวิธีอันแตกต่าง เช่น การเล่าเรื่องแบบใช้เหตุการณ์คู่ขนาน การเล่าเรื่องแบบใช้นิทานเปรียบเทียบ การใช้สัญลักษณ์ ฯลฯ  ที่น่าสนใจคือผู้แต่งแสดงถึงความสามารถในด้านการใช้ภาษาได้อย่างมีวรรณศิลป์ รู้จักพลิกแพลงการใช้ถ้อยคำอย่างมีนัยยะ เด่นด้วยโวหารเสียดสี ประชดประชันแต่แฝงไว้ด้วยอารมณ์ขัน ทำให้เรื่องมีสีสัน มีชีวิตชีวาน่าอ่าน ชวนติดตาม

ต้นไม้ใต้โลก

นำเสนอภูมิปัญญาการปกป้องคุ้มครองสภาพแวดล้อมโลกอย่างแยบยลและทันสมัย สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อ่าน นำไปปฏิบัติได้ในชีวิตประจำวัน เช่น     การรีไซเคิลจักรยาน , การลดมลพิษจากหมากฝรั่ง , การแยกขยะ ฯลฯ แม้ผู้เขียนจะรวบรวมข้อมูลจากหลายแหล่ง แต่ก็นำมาร้อยเรียงด้วยภาษาสำนวนที่เรียบง่าย และมีลีลาเชิงวรรณศิลป์ ทำให้เรื่องน่าสนใจ ชวนอ่าน และถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องสั้น ๆ หลายเรื่องมารวมกัน แต่ทุกเรื่องล้วนเป็นภูมิปัญญาการปกป้องโลก หนังสือจึงมีเอกภาพ มีแก่นเรื่องชัดเจน เป็นงานเขียนที่จุดประกายความคิด พัฒนาสำนึกเชิงสร้างสรรค์ได้อย่างดีเยี่ยม เป็นงานสารคดีเชิงวิทยาศาสตร์ที่ควรสนับสนุน เพราะหาคนเขียนได้ยากมาก

สะพานแสงคำ

สะพานแสงคำเป็นนวนิยายรัก ซึ่งผู้เขียนนำเรื่องราวในอดีตช่วงที่รัฐต่าง ๆ แถบล้านนากำลังเผชิญกับวิกฤตการณ์ครั้งสำคัญ เมื่อลัทธิล่าอาณานิคมของชาติตะวันตกแผ่มาถึงพร้อม ๆ กับการขยายอิทธิพลของรัฐใหญ่อย่างสยาม มาโยงใยเข้ากับยุคปัจจุบันซึ่งผู้คนต่างก็ต้องต่อสู้ดิ้นรนเพื่อดำเนินชีวิตในโลกที่ลัทธิทุนนิยมและวัตถุนิยมกำลังครอบงำอยู่   โดยมี “สะพานแสงคำ” ในภาพเขียนภาพหนึ่งเป็นทางเชื่อม เมื่อใดที่เมษาริน ตัวละครเอกของเรื่องก้าวข้ามสะพานนั้น เธอก็ได้เดินทางย้อนเวลาไปกว่าร้อยปี ได้เข้าไปเป็นพยานร่วมรู้เห็นเส้นทางชีวิตของ “คำประพาฬ”  หรือ “เจ้าเอื้อย” เจ้าหญิงแห่งรัฐล้านนา ตั้งแต่ยังเป็นเด็กหญิงตัวน้อยจนเติบใหญ่เป็นหญิงสาวผู้งามพร้อม และในขณะเดียวกันก็ได้ร่วมสัมผัสกับโลกรอบตัวของเจ้าหญิง  ซึ่งมีทั้งความขัดแย้งทางการเมือง การช่วงชิงผลประโยชน์ ความรัก ความแค้น ความเกลียดชัง  และการทรยศหักหลัง      การเดินทางข้าม “สะพานแสงคำ”  กลับไปสู่อดีตแต่ละครั้ง  ไม่เพียงทำให้ “เมษาริน” (และผู้อ่าน)ได้รับรู้และระทึกใจไปกับชะตากรรมของเจ้าเอื้อยรวมทั้งเหตุการณ์บ้านเมืองของยุคนั้นเท่านั้น    แต่ยังทำให้เธอมองผู้คนและภาวะการณ์ที่แวดล้อมตัวเธออยู่ในโลกปัจจุบันด้วยทัศนะที่แจ่มกระจ่างขึ้นเรื่อย ๆ  จนนำไปสู่การเข้าใจ “ความจริงและความลวง” ในตอนสุดท้ายของเรื่อง ปิยะพร ศักดิ์เกษม ได้ค้นคว้าหาข้อมูลและใช้ความสามารถในเชิงวรรณศิลป์พรรณนาภาพเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์สมัยนั้นอย่างมีชีวิตชีวาและสมจริง ทั้งยังสอดรับกับเรื่องราวและตัวละครที่เธอจินตนาการขึ้นได้แนบเนียนลงตัว   ทำให้สะพานแสงคำ เป็นนวนิยายรักข้ามภพข้ามเวลาที่มีเสน่ห์ชวนติดตาม สมควรได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 รางวัลเซเว่นบุ๊คอวอร์ด ประจำปี 2551

ระเบียงตะวัน

“ระเบียงตะวัน” ของสุขุมพจน์ คำสุขุม โดยภาพรวมผู้เขียนเสนอเรื่องราวอดีต ที่เป็น ‘ร่องรอยการพบ-พรากของชีวิต’ อ่านแล้วทำให้หวนระลึกถึงบรรยากาศเก่า ๆ ที่เต็มไปด้วยเสน่ห์มนต์ขลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมชนบท ซึ่งบรรยากาศเหล่านั้นแม้แต่ในยุคปัจจุบันก็ยังคงอยู่ เนื้อหาค่อนข้างหลากหลาย ทั้งเรื่องราวชีวิตผู้คน สังคม รวมถึงฉายภาพสะท้อนปัญหาต่าง ๆ โดยผู้เขียนไม่สรุปว่าต้องทำอย่างนั้น ต้องทำอย่างนี้ ปล่อยให้ผู้อ่านได้คิดเอง นี่คือเสน่ห์ และเสน่ห์อีกอย่างในงานเล่มนี้ คือ มีอารมณ์ขัน ในส่วนของเชิงชั้นทางวรรณศิลป์ ถือว่าชั้นเชิงดี มีความชัดเจน แม่นยำในฉันทลักษณ์           “นัยน์ตาใสซื่อสื่อสัมผัส                                  แจ่มชัดเป็นมิตรไร้ปริศนา ถ้อยคำชาวบ้านไร้มารยา                                     ดวงหน้าดวงใจมิไกลกัน แลกเปลี่ยนความรัก  แลกผักหญ้า                                   ปูปลากุ้งหอยมาก-น้อยนั่น ราคาสูงต่ำไม่สำคัญ                                           หมู่บ้านผูกพันแบ่งปันกิน”   หรือ…           “พวกผู้แทนเชื่อไม่ได้  มึงไม่รู้                      มึงเชื่อกูอีวันทา  มึงอย่าขำ  มันแจกเงินแจกทองมึงต้องจำ                                      รับแล้วทำเออออ  ป้อยอมัน”

ลูกชายของแม่

เป็นรวมเรื่องสั้น 7 เรื่อง มีเนื้อหาสาระเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของมนุษย์กับมนุษย์ และมนุษย์กับสรรพสิ่งรอบตัว  ผู้เขียนสามารถหยิบยกเอามุมความสัมพันธ์บางแง่มุมที่น่าสนใจมานำเสนอ เช่น คนกับกระป๋องที่กลิ้งไปมาบนรถเมล์  คนกับคอมพิวเตอร์  คนกับเครื่องซักผ้า คนกับท้องนา  เป็นต้น ผู้เขียนมักใช้วิธีเล่าผ่านสรรพนามบุรุษที่ 1 ซึ่งสะท้อนอารมณ์ด้านลึกได้ดี

โรงเรียนเม็ดกวยจี๊ เทอม 2

นิยายภาพเล่มนี้มีรูปแบบและเนื้อหาที่ดูทันสมัยเป็นการ์ตูนในรูปแบบของการสะท้อนปัญหาสังคมและการเมือง โดยวางแนวเรื่องให้ผู้อ่านสามารถต่อยอดความคิดได้ มีความคิดสร้างสรรค์ในการสร้างตัวละครและเนื้อหา หนังสือ “โรงเรียนเม็ดกวยจี๊เทอม 2” นี้ แบ่งเป็นเรื่องหรือบทสั้น ๆ 8 บท เนื้อหาเป็นการย่อหรือจำลองสังคมประเทศลงมาเป็นโรงเรียนเล็ก ๆ มีครู และนักเรียนเป็นตัวแทนคนในสังคมใหญ่ ตัวละครทุกตัวถูกสร้างสรรค์ให้มีบุคลิกที่แตกต่างและโดดเด่นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทุกบทในหนังสือเล่มนี้สามารถสะท้อนวิถีการเมืองร่วมสมัยได้ชัดเจน สามารถกระตุ้นให้ผู้อ่านโดยเฉพาะเยาวชนให้เกิดการตื่นตัวในปัญหาสังคมและต่อยอดความคิดและจินตนาการไปในมุมกว้าง เพื่อเกิดความเข้าใจและมีทัศนคติที่ดีต่อสังคมในระบอบประชาธิปไตย ด้วยตัวการ์ตูนที่ดูน่ารักลายเส้นเรียบง่ายสวยงาม เนื้อหาที่อ่านสนุก เข้าใจง่าย    แต่โดยภาพรวมไม่โดดเด่นเท่าเล่มที่ได้รางวัลชนะเลิศ คณะกรรมการจึงพิจารณาให้เป็นรองชนะเลิศอันดับ 1

เรือนสีรุ้ง

“เรือนสีรุ้ง”  เป็นวรรณกรรมเยาวชนบอกเล่าเรื่องราวของสิ่งของในพิพิธภัณฑ์วัดท่าพูด อำเภอ สามพราน จังหวัดนครปฐม เป็นการเรียนรู้ของเด็กหญิงวัย 10 ขวบ ผ่านการบอกเล่าของครอบครัวและชุมชน มีการให้ความรู้เรื่องภูมิปัญญาท้องถิ่น แต่ไม่ทิ้งความบันเทิงในรูปแบบนวนิยาย มีปมเรื่องราวให้ติดตาม   มีอารมณ์สะเทือนใจพอสมควร โดยเรียงร้อยขึ้นจากเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นจริงในท้องถิ่น นับเป็นสาระนิยายที่สามารถนำไปใช้อ้างอิงบอกเล่าต่อในฐานะหน้าหนึ่งของ “ประวัติศาสตร์สามัญชน” ได้  

1CM

“หนังสือรวมเรื่องสั้น 1CM” ของโอสธีมีเนื้อหาที่หลากหลายและกลวิธีนำเสนอที่แตกต่าง  บางเรื่องแม้จะมีเนื้อหาสะท้อนภาพสังคมปัจจุบันในด้านลบ เช่น เรื่องที่เกี่ยวกับการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนและพฤติกรรมของตำรวจ (เรื่องคดีข่มขืนนักเรียนคอนแวนต์) อิทธิพลของสื่อโฆษณา (เรื่องภูมิแพ้) ฯลฯ แต่ผู้แต่งมีกลวิธีการนำเสนอให้เรื่องดำเนินไปอย่างมีชั้นเชิงด้วยการขึ้นต้นเรื่องได้ดึงดูดใจชวนติดตาม และจบเรื่องได้ชวนคิดสะกิดใจ มีลีลาการเขียนที่ใช้สำนวนภาษาเสียดเย้ยด้วยอารมณ์ขัน ทำให้เรื่องที่มีเนื้อหาจริงจังดูมีสีสัน มีชีวิตชีวา แม้แต่ชื่อเรื่องบางเรื่องก็สามารถดึงดูดใจผู้อ่านได้แต่แรกเห็น เช่น ศีลห้ามาเนีย นักลาออกมืออาชีพ ฯลฯ หนังสือรวมเรื่องสั้น 1CM จึงน่าสนใจสำหรับผู้ต้องการอ่านเรื่องสั้นที่สนุกสนานและสร้างสรรค์

จากสายน้ำสู่นคร

“จากสายน้ำสู่นคร”  ของประกาศิต  คนไว  เป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นซึ่งสะท้อนภาพธรรมชาติและชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในสังคมชนบทที่ห่างไกล  หนังสือเรื่องนี้นอกจากให้ความรื่นรมย์แล้ว ยังมีสาระที่ก่อให้เกิดความเข้าใจพฤติกรรม ความคิด และปัญหาที่ชาวชนบทเผชิญ  เช่น ปัญหาเกี่ยวกับความยากจน ทำให้ต้องดิ้นรนต่อสู้เพื่อความอยู่รอด และเพื่อชีวิตที่ดีกว่า ปัญหาที่เกิดจากความเจริญทางวัตถุ ซึ่งนำความเสื่อมโทรมมาสู่ธรรมชาติ  ปัญหายาเสพติด การพนัน และการเอารัดเอาเปรียบกัน นอกจากนี้ เนื้อหายังกระตุ้นให้เกิดจิตสำนึกที่ดีงามในด้านความรัก ความกตัญญู ความเมตตา มิตรภาพ และการอนุรักษ์ธรรมชาติ ผู้แต่งนำเสนอเรื่องต่าง ๆ โดยผ่านชะตากรรมของตัวละครที่หลากหลาย ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ ชาย หญิง และสัตว์ได้อย่างชัดเจน สมจริง ชวนติดตามด้วยภาษาที่สละสลวย ง่าย และงดงาม

ไม่ขอรับเกียรติยศใดๆ ทั้งสิ้น

เป็นหนังสือบอกเล่าชีวิตที่ยืนนานถึงกว่า 95 ปี ของท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ที่ได้ประสบรู้เห็น รู้สึก และผจญกรรมต่อเนื่องยาวนาน อันเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์การเมืองไทยสมัยหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ซึ่งได้แสดงให้เห็นถึงความซื่อสัตย์ ความรู้ ความสามารถ ความอดทน และความเสียสละ เพื่อบ้านเมืองของท่านผู้หญิง ที่สมควรได้รับความเคารพนับถือและยกย่องของอนุชนไทยรุ่นหลังเป็นอย่างมาก ที่สำคัญคือยังสะท้อนแนวคิดเรื่องความเท่าเทียมกันระหว่างมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ ความรักชาติ รักอธิปไตย และการต่อสู้เพื่อความถูกต้องดีงาม ผู้เขียนใช้เวลาทั้งชีวิตเล่าเรื่องตัวเองที่สัมพันธ์กับประวัติศาสตร์การเมืองในช่วงเวลานั้นได้อย่างน่าสนใจ ตื่นเต้น และมีชีวิตชีวา เหนือสิ่งอื่นใดเป็นการเปิดเผยข้อเท็จจริงที่เป็นบทเรียนทางประวัติศาสตร์ ซึ่งผู้เขียนได้สัมผัสด้วยตนเอง ยากที่คนอื่นจะได้มีโอกาสเจอ จึงแม้ว่าจะเป็นหนังสือประวัติส่วนบุคคล แต่เป็นบุคคลที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์การเมืองไทยสมัยหนึ่ง อัตชีวิตประวัติของท่านผู้หญิงจึงสะท้อนภาพการเมืองไทยได้อย่างน่าสนใจ โดยใช้ภาษาสำนวนที่กระชับ เรียบง่าย ตรงไปตรงมา อันเป็นความงดงามทางวรรณศิลป์อย่างหนึ่งที่ชวนให้อ่านตั้งแต่ต้นจนจบ นับเป็นบันทึกที่มีค่าเชิงประวัติศาสตร์อย่างหาอะไรมาแทนได้ยาก

ตะวันเบิกฟ้า

ตะวันเบิกฟ้า  บทประพันธ์ของปิยะพร  ศักดิ์เกษม  เป็นเรื่องราวของชีวิตในครอบครัวใหญ่ที่ฉายภาพของสังคมไทยในช่วง พ.ศ. 2498 ถึงราว พ.ศ.2506  อันเป็นช่วงเหตุการณ์ที่สังคมไทยเพิ่งผ่านพ้นสงครามโลกครั้งที่สองมา ความผันผวนของเหตุการณ์ในสังคมไทยขณะนั้นได้ส่งผลกระทบต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของคนไทยโดยส่วนรวม  แต่ทว่าครอบครัวใหญ่ซึ่งมีประมุขของครอบครัวเป็นคนเด็ดขาด  เรียบง่าย วางชีวิตของทุกคนในครอบครัวให้ดำรงอยู่ได้ด้วยระเบียบของศีลธรรมจรรยา อีกทั้งยังแก้ไขปัญหาของครอบครัวอย่างใช้สติปัญญา จึงประคับประคองให้ชีวิตของทุกคนในครอบครัวดำเนินไปด้วยความผาสุก  แต่กระนั้นผู้ประพันธ์ก็ชี้ให้เห็นว่าคนในครอบครัวเดียวกัน ก็มิได้มีความคิดและแนวทางในการดำเนินชีวิตในทางเดียวกัน  ผู้ประพันธ์ได้สร้างตัวละครที่เป็นคู่เปรียบเทียบอันแสดงให้เห็นถึงฝ่ายที่ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและมีสติ  กับอีกฝ่ายที่ดำเนินชีวิตอยู่ในความลุ่มหลง  ปล่อยให้โมหะและโทสะเข้าครอบงำ จนกระทั่งต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในที่สุด นวนิยายเรื่องตะวันเบิกฟ้า  จึงเป็นนวนิยายที่ชี้ให้เห็นถึงปรัชญาการดำเนินชีวิตในทางที่ถูกที่ควร และเป็นนวนิยายที่แสดงให้เห็นว่าชีวิตมนุษย์ล้วนตกอยู่ภายใต้เงื่อนไขของครอบครัว  ความรัก  สังคม  เครือญาติ  และแม้กระทั่งจิตใจตนเอง  ปัจจัยเหล่านี้ทำให้มนุษย์ตกอยู่ภายใต้ชะตากรรมบางอย่าง  มนุษย์จึงจะต้องใช้ชีวิตอย่างมีสติและมีปัญญา จุดเด่นของนวนิยายเรื่องนี้คือกลการประพันธ์ซึ่งเสนอให้เห็นถึงวิธีการเล่าเรื่องที่ค่อย ๆ เปิดเผยบุคลิกลักษณะของตัวละครให้ผู้อ่านได้ทราบและติดตาม โดยการใช้ลีลาภาษาที่เปี่ยมไปด้วยวรรณศิลป์  เป็นภาษาเก็บละเอียดทำให้ผู้อ่านเห็นภาพตามที่ผู้ประพันธ์ต้องการสื่อออกมา และยังนำเรื่องราวในอดีตอันเป็นรายละเอียดของฉากในเรื่องมาสอดแทรกไว้ได้อย่างเหมาะเจาะลงตัว นวนิยายเรื่องตะวันเบิกฟ้า จึงเป็นนวนิยายที่มีแง่งามทั้งทางด้านวรรณศิลป์  เป็นนวนิยายที่เสนอให้เห็นมุมมองเกี่ยวกับชีวิตอันจะเป็นแบบอย่างให้แก่ผู้อ่านได้ และยังเป็นนวนิยายที่มีคุณค่าในฐานะบันทึกประวัติศาสตร์สังคมได้อย่างมีชีวิตชีวาอีกด้วย

ฝากโลกนี้ไว้ในหัวใจเธอ

“ฝากโลกนี้ไว้ในหัวใจเธอ”  ของ “กอนกูย”  เป็นผลงานสะท้อนปัญหาสังคม การเมือง เศรษฐกิจ และครอบคลุมถึงวิถีชีวิต (ต้องสู้) ของคนธรรมดาสามัญ เนื้อหามีความหลากหลาย นั่นหมายรวมถึงความรัก ความฝันด้วย โดยผู้เขียนแบ่งออกเป็น 4 ส่วน เริ่มจากภาค 1 พิธีกรรมอำพราง  ภาค 2 ก้าวต่างกลางฟ้าหม่น  ภาค 3 เหนือแผ่นดินชีพดิ้นรน  และภาค 4 เห็นผลของหัวใจ… ด้วยเนื้อหาสาระและข้อมูลที่ทันสมัย หนักแน่น ชัดเจนในประเด็น ลีลาอารมณ์กวีมีพลัง… “ขอบคุณ…น้ำตาลูกผู้ชาย                   ที่สื่อภาพความหมายหลายความต่าง ชีวิตซึ่งมิท้อต่อทิศทาง                       คงมีบ้างหนึ่งฝันนั้นเป็นจริง ขอบคุณ…สมจิตร จงจอหอ                 ที่ช่วยต่อความหวังตั้งทุกสิ่ง น้ำตาคุณ-น้ำตาใคร ได้แอบอิง              น้ำตาฉัน…สลัดทิ้งความท้อแท้”

อะฮ๊อย

หนังสือการ์ตูนเรื่อง “อะฮ๊อย”  เป็นหนังสือที่จัดทำภายใต้โครงการ สื่อสร้างสรรค์สำหรับเยาวชนของ สสส. จากฝีมือการวาดและประพันธ์โดยวงศกร จิรากูลสวัสดิ์ และ อรอุมา ปานมุนี เป็นเรื่องราวของเด็กหนุ่มที่ชื่อ  “แป๋ง”  ซึ่งเคยเป็นเด็กที่มีรูปร่างอ้วน เพราะมีพฤติกรรมการกินที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งเวลานอนก็กรนดังอีกด้วย จนวันหนึ่ง แป๋งได้พบกับสาวน้อยชื่อ อ้อมใจ อย่างปาฏิหาริย์ เพราะอุบัติเหตุ และเกิดเขม่นกับ บัวลอย ซึ่งอ้างว่าเป็นแฟนของอ้อมใจ และคอยด่าว่ากลั่นแกล้งกีดกันแป๋งจากอ้อมใจ แป๋งซึ่งชอบอ้อมใจก็พยายามทำตัวใกล้ชิด และเลียนแบบกิจกรรมที่อ้อมใจชอบ ซึ่งก็คือเสียงเพลง และดนตรี แต่ก็ไม่วายเผชิญหน้ากับบัวลอยซึ่งดูถูกแป๋งว่าอ้วนแล้วยังเจียมตัว และเกิดการท้าทายงัดข้อแข่งกัน ถ้าใครแพ้ต้องเลิกคุยกับอ้อมใจ ซึ่งแป๋งก็แพ้ และข้องใจว่าตัวเองตัวใหญ่กว่า แต่ทำไมถึงสู้แรงบัวลอยซึ่งตัวเล็กกว่าไม่ได้ จึงมีความคิดที่จะลดความอ้วนโดยไม่ใช้ยา โดยเกิดแรงบันดาลใจจาก “ความพ่ายแพ้ มักทำให้ผู้แพ้เรียนรู้ และหาวิธีที่จะทำให้ตนเองแข็งแรงขึ้น” โดยจริงจังกับการดูแลตัวเอง และควบคุมการกินอาหาร ตลอดจนขยันหมั่นเพียรในการออกกำลังกายทุกครั้งที่มีเวลาว่าง และทำอย่างตั้งใจที่สุด  โดยมีคำขวัญว่า “ถ้าเราตั้งใจ ทำไมเราจะทำไม่ได้”  เพียงเวลา 3 เดือน แป๋งก็ความสามารถลดความอ้วนลงมาได้ และแข็งแรงขึ้นจนสามารถเอาชนะบัวลอยได้ คณะกรรมการพิจารณารางวัลเซเว่นบุ๊คอวอร์ด ในหมวดวรรณกรรมเยาวชนส่วนนิยายภาพ หรือการ์ตูน คัดเลือกหนังสือการ์ตูนเรื่อง “อะฮ๊อย” ให้ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1

พจน์โดยสาร

ผู้เขียนมีความช่างคิด ช่างสังเกต สามารถหยิบยกสิ่งรอบตัว อาทิ ปัญหาสังคม-การเมือง ปัญหาการศึกษา-วัฒนธรรม ฯลฯ นำมาสื่อสะท้อนเป็นประเด็นปลีกย่อยได้อย่างน่าสนใจ โดยสามารถใช้สำนวนภาษาและลีลาวรรณศิลป์ในการนำเสนอได้ดี หลายบทหลายสำนวนมีความคมคาย อาทิ “พรหมองค์เดียวที่ลิขิตชีวิตคน คือใจตนไม่ใช่ใครอื่นเลย” หรือ “คนล่าฝันไม่รู้ว่าฝันล่าคน ต่างหลงกลลาภสรรเสริญเกินพอดี”

ยุคสมัยของเรา

เป็นรวมเรื่องสั้นจำนวน 8 เรื่อง เสนอเรื่องราวของผู้คนและสังคมทั้งในชนบทและเมืองหลวง   ผู้แต่งบรรยายเหตุการณ์และตัวละครได้อย่างชัดเจน  ด้วยสำนวนภาษาสละสลวย  การดำเนินเรื่องชวนติดตาม สะท้อนแนวความคิดที่มีสาระเหมาะสมกับยุคสมัย   เรื่องสั้นบางเรื่องมีแนวคิดชัดเจน ลึกซึ้ง สะเทือนอารมณ์

เมืองเล็กเมืองนี้

  เป็นเรื่องสะท้อนชีวิตวัยรุ่นและสังคม ผ่านเหตุการณ์ทะเลาะวิวาท ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ ความน่าสนใจของเรื่องนี้คือการที่ผู้แต่งนำเสนอเรื่องผ่านเรื่องราวของผู้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ 5 คน ได้แก่ “เล็ก” เด็กชายวัยรุ่นกำพร้าพ่อลูกแม่ค้าข้าวแกง นักเรียนมัธยม มีเพื่อนชื่อกร  “นิด” แม่ผู้ต่อสู้ชีวิตที่รักและห่วงใยลูก  “กร” นักเรียนมัธยมเพื่อนของเล็กค่อนข้างเกเร  แต่รักพ่อมากจนกล้าต่อสู้กับผู้ที่ทำร้ายพ่อ  “ครูลินดา” ครูของเล็กและกร  ผู้ประสบเหตุวิวาทและแจ้งตำรวจ   และ “ ดาบเพชร” ตำรวจผู้ระงับเหตุวิวาท การใช้กลวิธีใหม่นำเสนอเรื่องราวเช่นนี้ แม้จะยังไม่สมบูรณ์ แต่ก็ชวนติดตาม และสามารถสะท้อนแนวคิดเกี่ยวกับวัยรุ่นในสังคมได้

เรื่องมีอยู่ว่า

  คณะกรรมการพิจารณารางวัลเซเว่นบุ๊คอวอร์ด ในหมวดของนิยายภาพ หรือการ์ตูน ได้ตัดสินให้หนังสือการ์ตูนเรื่อง “เรื่องมีอยู่ว่า” ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1  รูปแบบหนังสือการ์ตูนเรื่อง “เรื่องมีอยู่ว่า” นี้ เป็นการรวมนิยายภาพหรือการ์ตูนขนาดสั้นหลาย ๆ เรื่องที่จบในตอนมาอยู่ในเล่มเดียวกัน แล้วแทรกการ์ตูนขำขันตลก ๆ เป็นระยะ ๆ  นิยายภาพหรือการ์ตูนที่นำเสนอในเล่มนี้มีลายเส้นทันสมัยอันโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีแนวความคิดเป็นตัวของตัวเองและเป็นการมองโลกนอกกรอบที่เรียกกันว่า “การ์ตูนเด็กแนว” เทคนิคการแต่งเรื่องดี มีความคิดสร้างสรรค์เติมแรงบันดาลใจและจินตนาการหลายหลาก  การ์ตูนหลายเรื่องในหนังสือเล่มนี้ชวนให้ได้ย้อนคิดและมองไปในมุมกลับ บางท่านอาจจะเคยประสบพบเจอกับเหตุการณ์หรือเรื่องราวที่มีเนื้อหาเหมือนหรือใกล้เคียงกับหลาย ๆ เรื่องในเล่มนี้  ซึ่งหลาย ๆ คนอาจจะมองข้ามหรือไม่ก็พากันหลงลืมไป   การ์ตูนแต่ละเรื่องแทรกปรัชญาข้อคิดได้อย่างลงตัว ผู้อ่านเข้าถึงเนื้อหาได้ง่าย บุคลิกตัวละครแต่ละเรื่องชัดเจนเหมาะสม   และอ่านได้ทุกเพศทุกวัย หนังสือการ์ตูนเรื่อง “เรื่องมีอยู่ว่า” นี้ แต่งเรื่องและวาดภาพโดย THE DUANG วีระชัย  ดวงพลา  ซึ่งยังเป็นวัยรุ่น  อายุ 20 ต้น ๆ  แต่ฝีมือและความคิดกลับมีพลังเกินอายุ การ์ตูนในเล่มนี้สามารถสะท้อนสะกิดสะเกา กัด จิก หรือหยอกเอินน่ารักต่อผู้คนที่มีหลากหลายอาชีพ ตั้งแต่เด็กจนคนชรา เช่น เรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์กับเพื่อนในโรงเรียน จากเรื่อง “จูบ” (หน้า 7-20),  เรื่องเกี่ยวกับการรู้จักให้โดยไม่หวังผลตอบแทน จากเรื่อง “ผู้ให้” (หน้า 27-31), คุณค่าของความรัก และมิตรภาพที่แท้จริง จากเรื่อง “อยากมีเงิน” หน้า (87-92) อย่าตัดสินคนด้วยคำพูดคนอื่น จากเรื่อง “นินทา” (หน้า 95-99) และยังมีอีกหลายๆ เรื่องที่นอกจากอ่านเพื่อความบันเทิง สนุกสนานแล้ว ยังนำไปเป็นข้อคิดเตือนใจในชีวิตประจำวันได้ เนื่องจากหนังสือการ์ตูน “เรื่องมีอยู่ว่า”   นี้เป็นการรวมการ์ตูนหลาย ๆ เรื่องมาอยู่ในเล่มเดียวกันทำให้ขาดพลังและเอกภาพ คณะกรรมการจึงมีมติให้ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1