หนังสือแนะนำ
ซ้อนซับกับโลกทึมเศร้า
ซ้อน ซับ กับ โลก ทึม เศร้า กวีนิพนธ์ของ บัญชา อ่อนดี เป็นบทกวีที่มีเนื้อหาเข้มข้น ด้วยนำเสนอภาพวิกฤตการณ์ร่วมสมัยที่เกิดขึ้นทั่วโลก เช่น การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า สงครามในประเทศยูเครน ความอดอยาก และผู้ลี้ภัยสงคราม ทั้งสะท้อนภาพคอร์รัปชัน และตั้งคำถามถึงจริยธรรมของนักการเมืองในประเทศ ผ่านลีลาการใช้คำที่กระชับ หนักแน่น มีการเลือกใช้คำทับศัพท์ร่วมสมัยซึ่งทำให้ผู้อ่านเกิดความรู้สึกร่วมและมีอรรถรสมากขึ้น “ซ้อน ซับ กับ โลก ทึม เศร้า” กล่าวถึงปัญหาที่ทับซ้อนอยู่บนพื้นที่ต่าง ๆ บนโลก ผู้เขียนเล่นคำว่า “โลกทึมเศร้า” และ “โรคซึมเศร้า” เพื่อสะท้อนปัญหาเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองที่เกิดขึ้น และเป็น “ราก” ของความทุกข์ทนหม่นเศร้าของผู้คนในปัจจุบัน นอกจากการกล่าวถึงปัญหาอย่างหลากหลายและตรงไปตรงมา กวีนิพนธ์เรื่องนี้ เด่นด้วยการใช้คำประพันธ์ประเภทกลอนเก้าในแต่ละวรรคที่ประกอบด้วยกลบท ทำให้เกิดจังหวะการอ่านที่สม่ำเสมอตลอดเรื่อง และสร้างอารมณ์ที่ต่อเนื่องให้กับผู้อ่านได้เป็นอย่างดี
WORLD WAR TOOLS สงครามโลกในสิ่งของ
เลือกแง่มุมในการนำเสนอประวัติศาสตร์สงครามโลกได้ชวนติดตาม โดยการเลือกสรรสิ่งของหรือสิ่งละอันพันละน้อยที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในช่วงสงครามโลกมานำเสนอ เช่น ชาวญี่ปุ่นมอบเครื่องรางอะไรให้ทหารกล้าของพวกเขา รัฐบาลอังกฤษเหมาชาดำทั่วยุโรปส่งเป็นขวัญและกำลังใจให้ทหารในแนวหน้า และประเด็นอื่น ๆอีกมาก นับเป็นการจับประเด็นที่ชาญฉลาดและไม่เหมือนใคร
NOSE NOTE บันทึกเรื่องกลิ่นจากปลายจมูก ฝนตกข้างบ้าน ถึงจักรวาลอันไกลโพ้น
นำเสนอเรื่อง ‘กลิ่น’ อันเป็นเรื่องที่มีผู้เขียนถึงน้อย โดยใช้ลีลาภาษาที่อ่าน เพลิดเพลิน สนุกสนาน ชวนติดตาม ให้ข้อมูลสารพัดกลิ่นที่ผู้อ่านอาจนึกไม่ถึง ตั้งแต่ กลิ่นบนเครื่องบิน กลิ่นอียิปต์โบราณ ไปจนกระทั่งกลิ่นความกลัว กลิ่นอวกาศ กลิ่นห้วง จักรวาล และอื่น ๆ
ส่องลายคราม สืบหาจีนกรุงศรีฯ
เป็นงานเขียนที่เพลิดเพลิน อ่านสนุก แต่ให้ความรู้เชิงลึกในด้านประวัติศาสตร์ที่เล่าผ่านเครื่องกระเบื้องลายครามอันเป็นของสะสมของผู้เขียน ผู้อ่านจึงได้เห็นถึงประวัติศาสตร์ชีวิตในราชสำนักและผู้คนในแผ่นดินจีนและกรุงศรีอยุธยา ทั้งทางเศรษฐกิจการค้า สังคม การเมือง ผ่านภาพถ่ายสวยงามของเครื่องลายครามอันเป็นพยานวัตถุ
รักก่อนกำเนิด เกิดก่อนกำหนด
เด็กที่คลอดก่อนกำหนด มีชื่อเรียกเฉพาะว่า ‘เด็กพรีมี่’ หนังสือเล่มนี้เปิดโลกของเด็กพรีมี่ให้ผู้อ่านได้รู้จัก ผ่านชีวิตจริงของ ‘ลินลา’ เด็กพรีมี่ที่สร้างพลังใจให้แม่ หมอและผู้คนรอบข้างมีความหวัง มีกำลังใจ แล้วส่งต่อกำลังใจนั้นมาถึงผู้อ่านด้วย
ERASMUS GENERATION
คนจำนวนมากเป็นนักเรียนทุนที่ได้เดินทางไปเรียนต่อในต่างประเทศ หนังสือเล่มนี้ก็เล่าถึงประสบการณ์เช่นนั้น แต่ทุนอีราสมุสแตกต่างจากทุนอื่น ตรงที่ผู้ได้รับทุนสามารถเลือกเดินทางตระเวนไปได้ในหลายประเทศเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่แตกต่างกันออกไป ผู้เขียนบอกเล่าถึงประสบการณ์ที่ได้พบเห็นในหลายประเทศ หลากวัฒนธรรม ด้วยสำนวนภาษาเรียบง่ายแต่จูงใจ
โปรดโอบกอดมนุษย์ลูก
คำถามที่ว่า เราควรเลี้ยงลูกอย่างไร เป็นคำถามที่เกิดขึ้นทุกยุคทุกสมัย หนังสือเล่มนี้เป็นคำแนะนำจากแม่คนหนึ่งถึงแม่และผู้ปกครองคนอื่น ๆ ในยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป เราต้องยอมรับว่า ห้วงเวลานี้คือห้วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านขนานใหญ่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ทุกสิ่งเปลี่ยนไป การเลี้ยงลูกก็เปลี่ยนไปด้วย ผู้เขียนเล่าประสบการณ์ของตัวเองและของคนอื่น ๆ ที่ได้พบเห็นด้วยภาษาที่งดงามและมีมุมมองที่แปลกใหม่แต่ลุ่มลึก
“จากศึกบางกุ้งถึงศึกอะแซหวุ่นกี้ : เผยโฉมยุทธศาสตร์พม่ารบไทยยุคธนบุรี”
หนังสือเล่มนี้นำเสนอแง่มุมในประวัติศาสตร์การทหารในยุคที่ไม่ค่อยมีใครกล่าวถึงมากนัก นั่นคือยุคของสมเด็จพระเจ้าตากสิน โดยฉายภาพการหยั่งเชิงและประลองกำลังกันระหว่างพม่าและไทย ในฐานะของกรุงอังวะและกรุงธนบุรี ทำให้เกิดสงครามระหว่างกันมากถึง ๑๕ ครั้ง ผู้เขียนได้แยกแยะศึกที่ว่ามานี้ออกเป็นรูปแบบต่าง ๆ และวิเคราะห์การศึกนับตั้งแต่ครั้งแรกที่บางกุ้ง กระทั่งถึงครั้งสุดท้ายในศึก อะแซหวุ่นกี้ ด้วยหลักฐานที่หนักแน่นและฉายภาพลึกไปถึงการเมืองในระดับภูมิภาคด้วย
ให้ความหวังนำทางเรา
หนังสือเรื่อง “ให้ความหวังนำทางเรา” ของ “แพน พงศ์พนรัตน์” เล่าเรื่องการเดินทางของนักวิจัยไทยคนหนึ่ง ที่ตามติดไปในพื้นที่ประสบหายนะของญี่ปุ่น หลังเหตุการณ์สึนามิครั้งใหญ่ที่ทำให้โครงสร้างของสังคมญี่ปุ่นเปลี่ยนแปลงไปแทบจะสิ้นเชิง ผู้เขียนไม่ได้มองผู้คนอย่างผิวเผิน ทว่าด้วยการสื่อสารภาษาญี่ปุ่นโดยตรง จึงพาผู้อ่านไปรับรู้อารมณ์ความรู้สึก การปรับตัว ความสะเทือนใจต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากโศกนาฏกรรมครั้งนั้น โดยผ่านลีลาภาษาที่เรียบง่ายแต่งดงามอย่างยิ่ง
จะไม่ทิ้งใครไว้บนเตียง
“จะไม่ทิ้งใครไว้บนเตียง” ของ “ปกาศิต แมนไทยสงค์” แม้เป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยซึ่งเป็นพี่สาวของผู้เขียน อันเป็นเรื่องในครอบครัว แต่การนำเสนออย่างมีชั้นเชิงทางวรรณศิลป์ สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อ่านตระหนักถึงการ “ไม่ทิ้งใครไว้บนเตียง” ด้วยการให้กำลังใจ ดูแลเอาใจใส่ ทำให้ผู้ป่วยได้รับพลังใจจนอาการดีขึ้น จุดเด่นของหนังสือเรื่องนี้คือการเล่าความคิดของผู้เขียนด้วยภาษาสำนวนที่น่าประทับใจ สะท้อนความห่วงใยทั้งพี่สาวและแม่ เป็นแบบอย่างให้ผู้คนในสังคมตระหนักว่าการดูแลผู้ป่วยไม่ใช่หน้าที่ของบุคลากรทางการแพทย์เท่านั้น แต่กำลังใจจากญาติพี่น้องและคนใกล้ชิดเป็นสิ่งสำคัญ กระทั่งกล่าวได้ว่าในบางกรณีเป็นเงื่อนไขชี้ขาดความเป็นความตายของผู้ป่วย ชื่อหนังสือ “จะไม่ทิ้งใครไว้บนเตียง” จึงเป็นทั้งปณิธานและข้อเตือนใจให้คนในสังคมไม่ทอดทิ้งผู้ป่วยหรือผู้อาวุโส ซึ่งเป็นประชากรหลักของสังคมผู้สูงวัย
ฮัก ฮีต ฮอย ลูกชาวนาอีสาน
หนังสือเรื่องนี้เป็นบันเทิงคดี บันทึกชีวิตชาวนาอีสานซึ่งเรียบเรียงจากประสบการณ์วัยเด็กระหว่าง พ.ศ. ๒๕๑๕ – พ.ศ. ๒๕๓๐ ของ “บักหำ” ลูกชายคนเล็กในครอบครัวชาวนาที่อบอุ่น มีพ่อแม่และพี่สาวคอยดูแลสั่งสอน และเป็นแบบอย่างที่ดี เนื้อเรื่องเล่าถึง บุคคล สถานที่ เหตุการณ์และกิจกรรมต่าง ๆ ตามวิถีชีวิตของชาวนาอีสานในแต่ละฤดูกาลในรอบปี กล่าวถึงชีวิตประจำวัน ประสบการณ์ชีวิต และการเล่นสนุกของเด็ก ๆ การดิ้นรนทำงานของชาวนาอีสานในสภาพสังคมและสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของครอบครัว นอกจากนี้ยังให้ความรู้เกี่ยวกับท้องถิ่น ในด้านการตั้งถิ่นฐาน ธรรมชาติ สภาพแวดล้อม ธรรมเนียม ประเพณี ศาสนา ความเชื่อ และคติชีวิตของชาวอีสาน ผู้ประพันธ์นำเสนอเรื่องโดยแบ่งเป็น ๙๐ ตอน แต่ละตอนมีชื่อที่สะท้อนเนื้อหา มีสารบัญ และมีบท “ที่มาของเรื่องเล่า” ท้ายเล่ม อธิบายคำสำคัญของหนังสือ เช่น ทางเกวียน หมู่บ้าน เล้าข้าว คอกควาย ลานบ้าน โคกและป่า ทุ่งนา จารีต ฮีต คอง สำนวนภาษาที่ใช้มี ๒ ลักษณะคือ ภาษาไทยมาตรฐาน ใช้ในการบรรยายสิ่งต่าง ๆ และภาษาถิ่น ใช้ในบทสนทนาระหว่างตัวละคร ซึ่งการใช้ภาษาถิ่นแม้ว่าจะสร้างความสมจริงและให้ความรู้ด้านภาษา แต่ก็ทำให้ผู้อ่านที่ไม่คุ้นเคยกับภาษาอีสานยากที่จะเข้าใจเนื้อความได้ครบถ้วน อย่างไรก็ตามด้วยเนื้อเรื่องที่สนุกสนาน สาระที่น่าสนใจ และแตกต่างจากหนังสือแนวชนบทอีสานเรื่องอื่น ๆ ทำให้หนังสือเรื่อง “ฮัก ฮีต ฮอย ลูกชาวนาอีสาน” เป็นหนังสือที่มีคุณค่าและน่าอ่านเรื่องหนึ่ง
อโศก…ฟ้าพลิกดิน
“อโศก…ฟ้าพลิกดิน” เป็นหนังสือที่ส่งเสริมพระพุทธศาสนา โดยนำประวัติของพระเจ้าอโศกมหาราชที่ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์ผู้เผยแผ่ธรรมะให้แก่พระญาติ ข้าราชการ ไปจนถึงประชาชนทั่วไป ผู้เขียนทำการค้นคว้า ให้เห็นถึงจุดเด่นของศาสนาพุทธที่ทำให้พระเจ้าอโศกมหาราชทรงเปลี่ยนความคิดและทรงปฏิบัติตามพระธรรมคำสอน อีกทั้งทรงเป็นตัวอย่างอันดีในการดำเนินพระชนม์ชีพ ตามหลักศาสนาพุทธทำให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ และศรัทธาในพระศาสนา ทรงแสดงให้เห็นถึงความเหมือน ความแตกต่างและการประนีประนอมกันระหว่างศาสนาพราหมณ์ ศาสนาฮินดู และศาสนาพุทธที่อยู่ร่วมกันได้จนถึงปัจจุบัน ผู้เขียนนำเสนอเนื้อหาเป็นเรื่อง ๆ สั้น ๆ ทำให้อ่านเข้าใจง่าย สอดแทรกสาระความรู้ที่เกี่ยวข้องทั้งในเนื้อหาและในคำอธิบายเพิ่มเติม แต่ละตอนมีตัวละครเป็นผู้ดำเนินเรื่อง มีบทสนทนา ภาพประกอบงดงาม ทำให้หนังสือน่าอ่านยิ่งขึ้น
หมอยาน้อย
“หมอยาน้อย” เป็นเรื่องราวของเด็กชายคนหนึ่งซึ่งเติบโตมาในสังคมชนบทแถบชานเมืองพัทลุง ผู้ประพันธ์ได้สอดแทรกสภาพภูมิประเทศ สถานที่สำคัญ วัฒนธรรม ประเพณี ตลอดจนชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในท้องถิ่นไว้ในฉาก และเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ดำเนินไปตามท้องเรื่องอย่างผสมกลมกลืน เปิดเรื่องโดยปรมินทร์ตัวเอกของเรื่องกำลังจะเข้ารับรางวัลนักวิจัยไทยผู้มีผลงานโดดเด่น เป็นที่น่าภาคภูมิใจ จนทำให้เขานึกย้อนภาพความทรงจำ นึกถึงพ่อแม่ญาติพี่น้อง ครู และเพื่อน ๆ ในโรงเรียน ประกอบเรื่องราวต่าง ๆ ที่มีส่วนทำให้เขาประสบความสำเร็จในชีวิต ผู้อ่านได้รู้จักแหล่งเรียนรู้อันมีคุณค่า ได้ความรู้เรื่องคุณประโยชน์ของพืชสมุนไพรไทยหลากชนิด ได้ข้อคิดในการปฏิบัติตน มีความมุ่งมั่นพากเพียร การใฝ่หาความรู้ตลอดชีวิต
แกะรอยฆาตกรรม
ผู้เขียนอายุยังน้อย แต่มีฝีมือการเขียนดี วางโครงเรื่องได้แนบเนียน น่าติดตามตั้งแต่ต้น ภาษาดี ทันสมัย สอนให้คิดในเรื่องการดำเนินชีวิต อ่านสนุก ตัวละครเก่งกล้าเกินเด็กในวัยเดียวกัน แต่เนื้อเรื่องยังมีฉากการฆ่า การทำร้าย และความรุนแรงมากไป จึงยังไม่เหมาะสมกับเยาวชน
ลมหนาวในปารีส
มีศิลปะในการเล่าเรื่องการเดินทางในต่างแดนของตนเอง ด้วยภาษาสำนวนสละสลวยแต่แฝงด้วยลีลาประชดประเทียดพองามทำให้ผู้อ่านรู้สึกเหมือนติดตามผู้เขียนไปเรียนรู้ชีวิตในมหานครชื่อดังของโลกโดยไม่รู้ตัว
หัวแตงโม-หัวเปลี่ยนไป ใจเปลี่ยนแปลง
ฝีมือการวาดภาพดี การลำดับภาพและการเสนอเรื่องราวดี มีเอกลักษณ์ เฉพาะตัวมีความทันสมัยและความคิดสร้างสรรค์ แต่ยังมีข้อผิดพลาดในการใช้คำและใช้ภาษาไทย
เตะระเบิดไม่ต้องเปิดตำรา เล่ม ๑-๒
ผู้วาดภาพมีความเป็นตัวของตัวเองสูง วาดภาพสวย มี Action มุมภาพดี การดำเนินเรื่องและการเชื่อมต่อภาพดี พระเอกมีบุคลิกเป็นเด็กบ้านนอก จับต้องได้ เนื้อหาใกล้ตัว อ่านแล้วสร้างแรงบันดาลใจในการเป็นนักฟุตบอล/นักกีฬา การใช้คำและภาษาไทยดี มีข้อผิดพลาดน้อย
มัสซาลา-จาปาตี
เป็นหนังสือที่ว่าด้วยเรื่องราวชีวิตที่หลายหลาก สีสันแห่งความคิด ความรู้สึกของผู้คนที่เกิดขึ้นและดำรงอยู่ ในประเทศอินเดียผ่านประสบการณ์ของนักเรียนไทยที่ต้องใช้ชีวิตและสัมผัสอินเดียนานกว่า ๒ ปี รวบรวมไว้ซึ่งเรื่องราวของหญิงสาวอินเดียในศตวรรษที่ ๒๑ความนิยมที่น่าแปลกใจของภาพยนตร์อินเดีย ความศรัทธาแห่งนาฏกรรมอินเดีย จิตวิญญาณ แห่งประเทศอินเดีย และเรื่องราวของชายชราชาวทิเบตที่ต้องสูญเสียถิ่นฐานบ้านเกิด ก่อนจะอพยพสู่อินเดียด้วยปวดร้าว พร้อมทั้งความหมายของกระจกสองด้านกับอินเดียดินแดนกลิ่นเครื่องเทศ
ทำมาหากินบนถิ่นไทย
เป็นเรื่องราวน่ารู้เกี่ยวกับการประกอบอาชีพต่างๆในเมืองไทยสมัยก่อนซึ่งผู้เขียนเรียบรียงจาก “รูปยาชิกาแรต” ที่แถมมาในซองบุทรีในอดีตจำนวน ๕๐ ภาพ ที่เป็นลักษณะเดียวกันเป็นภาพคนไทยบ้าง คนจีนบ้าง หรือคนชาติอื่นๆ ก็มีโดยเฉพาะภาพคนจีนจะสะท้อนถึงคนจีนรุ่นแรกๆ ที่อพยพมาจากบ้านเกิดเมืองนอนของตน มาแสวงหาที่อยู่ใหม่ในเมืองไทย ที่รียกกันว่า “เสื่อผืนหมอนใบ”และโดยคนจีนเหล่านั้นได้ประกอบอาชีพสุจริต โดยไม่เลือกว่าจะเป็นอาชีพอะไรเพียงแต่ขอให้ได้เงินมาเลี้ยงชีพเพื่อความอยู่รอดเท่านั้น ผู้เขียนได้คั้นคว้าหข้อมูล และเรียบรียงเรื่องราวไว้อย่างน่าสนใจ อีกทั้งยังสอดแทรกความรู้เกี่ยวกับคนจีนและเมืองจีนไว้พร้อมสรรพ และได้นำรูปยาชิกาแรตอันเป็นข้อมูลหลักมาพิมพ์ป็นภาพสีเหมือนจริงประกอบไว้ทุกรูปด้วยทำให้หนังสือสวยงาม น่าอ่านและ น่าสะสม
เจิ้งเหอ แม่ทัพขันที “ซำปอกง”
ผู้เขียนบรรยายถึงความมโหฬารของขบวนเรือรบของแม่ทัพใหญ่เจิ้งเหอที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์แห่งนาวีมนุษยชาติ อีกทั้ง ยังได้เล่าเรื่องราวการเยือนกรุงศรีอยุธยาของแม่ทัพเจิ้งเหอ ราวสมัยรัชกาลพระรามราชาธิราช ถึงรัชกาลสมเด็จพระอินทราชาธิราชที่ ๑ หนังสือเล่มนี้ผู้เขียนได้แรงบันดาลใจในการเขียน จากการได้ไป กราบสักการะองค์หลวงพ่อโตซำปอกงที่วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหารแห่งย่านกุฎีจีน ธนบุรีและจากการค้นคว้าผู้เขียนได้พบความมโหฬารของขบวนเรือแห่งราชวงศ์หมิง โดยได้เปรียบเทียบให้เห็นภาพอย่างน่าตื่นตาตื่นใจ ขอบเขตแดนที่กองเรือยักษ์มังกรท่องไปถึงนั้น มีนับตั้งแต่แดนในอุษาคเนย์ อินเดีย และแอพริกา รวมราว ๓0 ประเทศ และเมื่อเทียบกับประวัติศาสตร์การค้นพบโลกใหม่ของนักเดินเรือฝ่ายตะวันตก คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส พบทวีปอเมริกาและคิดว่าดินแดนที่เขาพบผืนนี้คือหมู่เกาะเอเชียตะวันออกในปี ๑๔๙๒ ซึ่งห่างจากช่วงที่แม่ทัพเจิ้งเหอออกทะเลครั้งแรกถึง ๘๗ ปี และเรือของโคลัมบัสวีรบุรุษผู้ค้นพบ โลกใหม่ยังเล็กกว่าเรือมหาสมบัติของจีนถึง ๔ เท่า ซึ่งเป็นการด้นคว้า ศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดลึกซึ้ง และมีการนำเสนอข้อมูลเหล่านี้อย่างน่าสนใจ
๗๐ นักสู้แห่งตะรุเตา
เป็นหนังสือที่ถ่ายทอดเรื่องราวของนักโทษการเมือง ๗- คน ที่ถูกส่งตัวไปกักกันที่เกาะตะรุเตาและเกาะเต่า ระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๘๒-๒๔๘๗ อย่างละเอียดและลุ่มลึก ผู้เขียนได้เดินทางไปศึกษาและสำรวจสถานที่ทางประวัติศาสตร์ เช่น เกาะตะรุเตา เกาะเต่า ลังกาวีกันตัง และควนเนียง ด้วยตนเอง พร้อมทั้งค้นคว้าเพิ่มเติมจากงานเขียนงานวิจัยอีกหลายเล่ม เนื่องจากเห็นว่า เกาะตะรุเตามีส่วนเกี่ยวข้องกับการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยของเมืองไทย รวมทั้งเป็นสีสันและมีจุดเด่นที่ประวัติศาสตร์ที่คนไทยมิอาจมองข้าม
หัวใจดอกไม้
เป็นงานเขียนเชิงจิตวิทยาที่กล่าวถึงปมชีวิตในด้านลึก โดยเฉพาะด้านของผู้หญิงนำธรรมชาติของมนุษย์มากล่าว ผ่านการนำเสนอด้วยภาษาที่ละเมียดละไมเปี่ยมด้วยวรรณศิลป์ ซึ่งให้ความสำคัญในเชิงพรรณนามาก
สายลมบนถนนโบราณ
เป็นเรื่องสั้นที่มีความละเมียดละไมในการใช้ภาษา เปี่ยมด้วยวัฒนธรรมและวิถีการดำเนินชีวิตของชาวลาวและเขมรในสังคมอีสานแบบโบราณ เรื่องน่าอ่าน บรรยายน่าสนใจและผูกเรื่องดี
ลิ้นชักที่เลิกใช้
เป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นที่นำเสนอเรื่องได้อย่างน่าสนใจทุกเรื่อง ผู้เขียนมองได้ลึกและมองในมุมที่คนอื่นอาจมองข้าม โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับผู้หญิง
เรื่องสั้นของคนรักลูก
เป็นเรื่องสั้นแบบฉบับที่มีการหักมุมได้อย่างน่าสนใจ น่าติดตาม อ่านแ ผู้เขียนเขียนเกี่ยวกับความรักระหว่างพ่อ แม่ ลูก โดยใช้สำนวนภาษาที่ละเมียดละไม มีเป้าหมายชัดเจน ถึงแม้จะมีเรื่องราวเพียงแง่มุมเดียว แต่ผู้เขียนก็มีวิธีการนำเสนอเรื่องอย่างหลากหลาย
เรื่องชื่นใจ
เป็นเรื่องสั้นที่แสดงความผูกพันของครอบครัว เพื่อน แสดงความดีงามของจิตใจจบได้ดีทุกเรื่อง สอนใจได้ สอนให้คิด โน้มน้าวให้เด็กกล้าหาญ มีความกตัญญูทำให้คนมองโลกในแง่บวก
บัตรทองคำ
เป็นเรื่องสั้นที่มีการวิพากษ์วิจารณ์สังคมอย่างกล้าหาญ ใช้ภาษโน้มน้าวใจให้คล้อยตามได้ดี สะท้อนปัญหาทางด้านสังคมและการเมือง
ในโพรงมล้างวิญญาสมัย
สะท้อนภาพสังคมชนบทภาคกลางในมุมมองของวิถีชีวิตชุมชนคนเชื้อสายลาว ซึ่งมีข้อมูลชีวิตของชาวชนบทที่น่าสนใจ ทั้ขนบธรรมเนียม ประเพณี และวัฒนธรรม ผู้เขียนให้ความใส่ใจกับการเลือกสรรถ้อยคำ และช่างคิดจนอาจเรียกได้ว่า ปั้นภาษา
นิทานกลางแสงจันทร์
เป็นเรื่องสั้นที่ใช้สำนวนภาษาได้ละเมียดละไม เข้าใจง่ายและลึกซึ้ง เปรียบเทียบเฉียบคมและสะท้อนสังคม โครงเรื่องมีมุมมองเกี่ยวกับชีวิตที่เลือกสรรได้เหมาะกับเรื่อง
ดอกไม้สั่นดาวไหว
เป็นหนังสือสำหรับผู้ที่ชอบอ่านเรื่องสั้นโดยเฉพาะ เนื้อเรื่องมีหลากหลายอารมณ์สร้างโครงเรื่องได้อย่างทันสมัย เหมาะแก่คนรุ่นใหม่ เป็นเรื่องเสียดสีเย้ยชีวิตของคนในสังคมปัจจุบัน เขียนเรียบๆ ง่ายๆ แต่อ่านสนุก ไม่น่าเบื่อ เขียนได้กระชับและฉับไว