ผลรางวัล

รางวัลชนะเลิศ

  • Home
  • รางวัลชนะเลิศ

รางวัลชนะเลิศ

ลับแล, แก่งคอย

ลับแล,แก่งคอย  นวนิยายของอุทิศ  เหมะมูล  เป็นเรื่องราวของเด็กหนุ่มวัยรุ่นที่พยายามขัดขืนกรอบชีวิตตามแนวทางเข้มงวดที่พ่อกำหนดให้   การหมกมุ่นอยู่กับความสูญเสียและความผิดหวังในชีวิตทำให้ตัวละครสร้างโลกจินตนาการเพื่อลวงตัวเองและลวงคนอื่น   เขามีความสุขกับโลกลวงที่ทำให้สามารถกล่าวโทษคนอื่นได้สะใจ   ทั้งพ่อผู้มีอัตตาสูง  และแม่ผู้อ่อนแอ  รวมทั้งแฝงตัวเป็นคนอื่นเพื่อปฏิเสธความเลวร้ายต่าง ๆ ที่ตนเองกระทำ   ชีวิตอันสับสนของตัวละครคลี่คลายลงได้ก็ด้วยการมีสติ  คือ ความรู้ตัว  และปัญญา  คือ ความรู้ทั่ว  ทำให้ได้คิดอย่างมีเหตุมีผล  ไม่งมงาย  เพื่อยืนหยัดและยืนยันตัวตนแท้จริง นวนิยายเรื่องนี้ใช้กลวิธีการเล่าเรื่องสลับตัดฉากไปมาระหว่างอดีตกับปัจจุบัน และจงใจให้รายละเอียดของเรื่องราวต่าง ๆ มาก  เหมือนกับจะแสดงให้เห็นว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับบุคคลหนึ่งมีผลสะเทือนถึงคนอื่น ๆ และสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตมีผลสะท้อนถึงปัจจุบัน   แม้ผู้เขียนจะเล่าเรื่องผ่านมุมมองของตัวละครเอก ซึ่งน่าจะทำให้ผู้อ่านคล้อยตามความคิดของตัวละครนั้น  แต่ในขณะเดียวกันผู้เขียนมีชั้นเชิงความสามารถที่ทำให้ผู้อ่านเข้าใจพฤติกรรมและอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครอื่น ๆ ในแง่มุมที่แตกต่างไป  ตัวละครในเรื่องจึงมีมิติลึกและซับซ้อนเช่นเดียวกับมนุษย์จริง  การแสดงให้เห็นว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือเรื่องใดเรื่องหนึ่งมีหลายมุมมองยังมีแทรกอยู่อีกหลายเรื่องหลายเหตุการณ์  รวมทั้งการที่ตัวละครผ่านพ้นวิกฤติชีวิตมาได้  แต่จะด้วยจิตบำบัด  ความเชื่อไสยศาสตร์  หรือหลักธรรมทางพุทธศาสนาก็แล้วแต่จะมองจากมุมของใคร  นอกจากนี้  ในระหว่างเรื่องเล่าของตัวละครเอก  นวนิยายเรื่องนี้ยังบอกเล่าถึงความเคลื่อนไหวของสังคมไทยรวมทั้งความไม่เที่ยงแท้แน่นอนของสรรพสิ่ง  และความเปราะบางของความสัมพันธ์ของมนุษย์  ที่อาจแตกหักลงง่าย ๆ เพียงเพราะยึดมั่นอยู่ในความคิดและวิถีทางของตนเอง นวนิยายเรื่องนี้มีเสน่ห์ทางวรรณศิลป์ที่การสร้างความคลุมเครือให้แก่ตัวละครและเหตุการณ์อยู่ตลอดทั้งเรื่อง  กล่าวได้ว่าผู้เขียนจงใจเล่นกับความจริงและความลวง   เพื่อแสดงให้เราเห็นว่าเมื่อสกัด            สิ่งลวงต่าง ๆ ในชีวิตออกไปแล้ว  ความจริงของชีวิตคือความงดงาม   เฉกเช่นประติมากรที่สกัดส่วนเกินบนแท่งหินอ่อน  เพื่อให้ได้รูปแกะสลักที่งดงามที่สุด

โลกหมุนเร็วกว่าเดิม

เป็นกวีนิพนธ์ที่ยอดเยี่ยมสุดในยุคนี้ก็ว่าได้ เพราะมีทั้งเรื่องแนวคิด และฝีมือในการเขียน โดยเฉพาะศิลปะของกาพย์กลอน เรื่องราวของวันหนึ่งของคน ๆ หนึ่งในเมืองใหญ่ เป็นเรื่องธรรมดา แต่ผู้เขียนได้ทำให้เห็นมุมมองที่ไม่ธรรมดา ตั้งแต่ตื่นนอนไปจนเข้านอน  ในวันเดียวกันนี้มีโลกที่เราคาดคิดไม่ถึงและเราก็อยู่กับมัน  ถูกมันกำหนด และกำหนดมันได้บ้าง  แต่ทุกวิถีได้ฝากข้อคิดและคติธรรมให้เห็นความชุลมุนพัลวันของชีวิตธรรมดา ๆ นี้เอง ที่เป็นพลังสำคัญที่จะเคลื่อนไหว ที่จะเคลื่อนสังคมให้พัฒนาไปสู่สิ่งที่ดีกว่า หรือไปสู่สิ่งที่เลวกว่าได้เสมอ ในด้านศิลปะการประพันธ์ ผู้เขียนมีความจัดเจนในการเขียนกาพย์กลอน    ซึ่งเรียกว่าคุมคำและคุมความได้อย่างน่าทึ่ง  ในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็สามารถจะทำให้เราอึกทึกไปถึงจักรวาลได้ ด้วยเสียงของอักษร ด้วยจังหวะของอักษร  ซึ่งเป็นคุณสมบัติพิเศษของกาพย์กลอนไทย  ยากที่จะหาผู้ใดมาเสกคุณสมบัติเหล่านี้ให้กระเทือนสัมผัสได้ถึงปานนี้

กลิ่นหอมแห่งท้องทุ่ง

เป็นเรื่องเล่าชีวิตของ “หนอม” ชายผู้เกิดและใช้ชีวิตวัยเยาว์ในชนบทแวดล้อมด้วยทุ่งนา ฝูงควาย   และธรรมชาติอันบริสุทธิ์งดงาม   รวมทั้งเรื่องราวอันรื่นรมย์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในท้องทุ่งนั้น  ผู้แต่งสามารถนำเสนอเรื่องเหล่านี้ได้อย่างสดใส ชัดเจน สอดแทรกแนวคิดเชิงอนุรักษ์วิถีชีวิตอันเรียบง่าย มีความรัก ความเมตตา และความเอื้อเฟื้อระหว่างคนและคนกับสัตว์โดยเฉพาะ “ควาย” อย่างแนบเนียนทำให้ผู้อ่านสัมผัสได้ถึงความงาม   เสียง  และกลิ่นหอมแห่งท้องทุ่งเกิดความรู้สึกร่วมในเนื้อเรื่องและแนวคิดของผู้แต่ง

Turning Point แก้วตาดวงใจในหัวใจจักรกล

“Turning Point  แก้วตาดวงใจในหัวใจจักรกล”  เป็นหนังสือนิยายภาพ (การ์ตูน) เรื่องยาวที่ให้อรรถรสด้านเนื้อหาในแนววิทยาศาสตร์ที่แสดงวิวัฒนาการในโลกเทคโนโลยีหุ่นยนต์ ผสมผสานกับการดำเนินเรื่องที่มีหลากหลายอารมณ์  ผู้เขียนสะท้อนให้เห็นถึงการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักยิ่ง ความเศร้า ความรู้สึกผิดที่ไม่สามารถลบเลือนออกจากใจ การทดแทน ความรักความผูกพัน การยอมรับความจริง และการเสียสละ โดยกำหนดให้หุ่นยนต์เด็กหญิงเป็นตัวแปรสำคัญในการดำเนินเรื่อง การนำเสนอภาพการ์ตูนผู้วาดภาพมีศักยภาพในการตกแต่งภาพอย่างพิถีพิถันวิจิตรบรรจง ลีลาลายเส้นมีความสวยงาม การลำดับภาพในแต่ละหน้าตื่นเต้นชวนติดตาม มีความต่อเนื่องสมบูรณ์ นับว่าเป็น Comic ที่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ แม้ภาพและเรื่องจะมีอิทธิพลหนังสือการ์ตูนแบบมังงะของญี่ปุ่นอยู่บ้าง แต่คณะกรรมการมีความเห็นว่ารูปแบบของการ์ตูนร่วมสมัยเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาที่ผู้อ่านให้ความนิยมเป็นอย่างมาก หนังสือการ์ตูนเรื่อง “Turning Point  แก้วตาดวงใจในหัวใจจักรกล” นี้ ผู้อ่านจะได้รับความสนุกสนาน ความสะเทือนใจ ความประทับใจ ความสุขและข้อคิดที่มีคุณค่า นับว่าควรค่าแก่การได้รับรางวัลชนะเลิศในปีนี้

นักเดินทางสู่ห้องเก็บของใต้บันได

“นักเดินทางสู่ห้องเก็บของใต้บันได” ของจักรพันธุ์ กังวาฬ เป็นหนังสือรวมเรื่องสั้น 13 เรื่อง ที่สะท้อนภาพชีวิตคนไทยร่วมสมัยยุควัตถุนิยมที่สูญเสียคุณค่าความเป็นมนุษย์ โดยตกอยู่ในภาวะสับสนอลหม่าน จนไม่อาจแยกแยะความจริงกับความลวง ความดีกับความชั่ว ความถูกต้องกับความผิดพลาด เรื่องสั้นโดยรวมมีทั้งความหมายตามตัวอักษรที่ทำให้ผู้อ่านสนุก ตื่นเต้น ระทึกใจ กับความหมายแฝงอันลุ่มลึกต่อการเพิ่มพูนประสบการณ์ชีวิต ผู้เขียนนำเสนอเรื่องราวด้วยกลการประพันธ์แบบสัจนิยม และแบบเหนือจริงอย่างแยบยล ใช้ภาษาสั้นและกระชับ ทำให้ผู้อ่านเห็นภาพและเกิดอารมณ์ร่วม ชื่อเรื่องบางเรื่องผู้เขียนตั้งขึ้นโดยเล่นกับความหมายของคำในภาษาได้อย่างแนบเนียนและกลมกลืน เช่น “เสียเด็ก”,  “คนลืมตัว” และ “ข้างนอกข้างใน” เป็นต้น ผู้เขียนนำชื่อเรื่อง 2 เรื่อง คือ “นักเดินทาง” กับ “เสียงร้องจากห้องเก็บของใต้บันได” มารวมกันเป็นชื่อหนังสือ “นักเดินทางสู่ห้องเก็บของใต้บันได” เหมือนจะชี้ให้เห็นว่ามนุษย์ทุกคนล้วนเป็นนักเดินทางทั้งสิ้น ซึ่งมักมีจุดหมายปลายทางอันห่างไกล  แท้ที่จริงสิ่งใกล้ตัวที่ไม่มีใครสนใจเหลียวแลต่างหากที่มีสาระชวนให้ค้นหาความหมายให้แก่ชีวิตมากกว่าสิ่ง        ไกลตัว ด้วยคุณสมบัติด้านเนื้อหาและกลการประพันธ์ดังกล่าว “นักเดินทางสู่ห้องเก็บของใต้บันได” ของจักรพันธุ์           กังวาฬ จึงสมควรได้รับรางวัลชนะเลิศ ประเภทรวมเรื่องสั้น รางวัลเซเว่นบุ๊คอวอร์ด ประจำปี 2553

ไอน์สไตน์ หลุมดำ และบิกแบง

สารคดีชีวิต อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นักวิทยาศาสตร์คนสำคัญผู้ค้นพบทฤษฎีอันส่งผลสะเทือนต่อโลกปัจจุบันมากที่สุดคือทฤษฎีสัมพัทธภาพ หนังสือเล่มนี้ลงลึกในเรื่องความคิดและทฤษฎีของเขามากกว่าที่เคยมีการนำเสนอกันมา แม้จะมีเนื้อหาสาระทางวิชาการมากพอควร แต่ผู้เขียนเล่าเรื่องได้ไม่น่าเบื่อ และถึงแม้ท่วงทีลีลาการเขียน อาจไม่ถึงกับสนุกสนานเป็นกันเอง แต่ก็มีชั้นเชิงทางวรรณศิลป์อันเหมาะควรกับการเป็นสารคดีเชิงวิทยาศาสตร์ และมีสาระความรู้บรรจุอยู่เต็มเปี่ยม แต่ในเวลาเดียวกันก็ยังชวนให้ติดตามอ่านด้วยการใช้ “ชีวิต” ของไอน์สไตน์มาอธิบาย “ความคิด” ของไอน์สไตน์อย่างแยบยล ทำให้หนังสือมีความน่าสนใจ ดึงดูดใจให้อ่านไปตลอดเล่ม และมีบทบาทสำคัญสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อ่านตระหนักถึงความสำคัญของวิทยาศาสตร์ ในฐานะ “ศาสตร์” ที่สร้างสรรค์โลกอย่างมีเหตุและผล ไม่ใช่ศาสตร์เพื่อการทำลายล้างอย่างบ้าคลั่ง

เสือเพลินกรง

เสือเพลินกรง  บทประพันธ์ของผาด  พาสิกรณ์   นักเขียนหน้าใหม่ในวงวรรณกรรม  แต่หากบอกว่าชื่อจริงของเขาคือ วิษณุฉัตร  วิเศษสุวรรณภูมิ   คงไม่แปลกใจนักว่าเขาเป็น  “ลูกไม้ที่หล่นไม่ไกลต้น” เสือเพลินกรง  เป็นนวนิยายเรื่องแรกของผาด  พาสิกรณ์   ลงพิมพ์เป็นตอน ๆ ในนิตยสารรายปักษ์เป็นเวลา 2 ปีกว่า จึงนำมารวมเล่มเป็นหนังสือหนา 734 หน้า   นวนิยายเรื่องนี้บอกเล่าเรื่องราวของกลุ่มสหาย 6 คน ที่หัวหกก้นขวิดด้วยกันในโรงเรียนประจำมาตั้งแต่เรียนชั้นประถม  ต่อมาสองคนถูกแยกกลุ่มส่งตัวไปเรียนในต่างประเทศเมื่อจบชั้นมัธยมสามเพราะความ “เฮี้ยวเกินพิกัด” จนโรงเรียนต้องเชิญออก หนุ่มห้าวกลุ่มนี้  ต่างคนต่างเติบโตมีวิถีชีวิตและอาชีพการงานของตน   มูลเหตุที่ดึงให้ผองเพื่อนทั้ง 6 คนกลับมาร่วมทุกข์ร่วมสุขกันอย่างใกล้ชิดอีกครั้งเริ่มจากเพื่อนคนหนึ่งต้องรับหน้าที่ดูแลลูกสาวของเพื่อนอีกคนหนึ่งที่ฝากฝังไว้ก่อนทำตัวหายสาบสูญไปจากสังคมตัวละคร    ผู้เล่าเรื่องจึงต้องวุ่นวายกับการทำหน้าที่ “พ่อ” ให้เด็กสาววัยรุ่นไปพร้อมกับการผจญกับปัญหากลยุทธ์ทางธุรกิจในบริษัทโฆษณาที่ตนทำอยู่   การสืบหาข่าวคราวของเพื่อนผู้ทำตัวสาบสูญ    การหวนคิดย้อนคืนกลับไปสู่อดีตเยาว์วัยอันโลดโผนของตนและผองเพื่อน และการตัดสินใจกำหนดเส้นทางชีวิตในอนาคตของตน นวนิยายเรื่อง เสือเพลินกรง สร้างความบันเทิงแก่ผู้อ่านด้วยอารมณ์ที่คละเคล้ากันระหว่างความซาบซึ้งใจในมิตรภาพของผองเพื่อนผู้เกื้อกูลกันอย่างไม่มีข้อจำกัด  และความหวานซึ้งของความรักต่างวัยที่ค่อยๆ กระชับระยะห่างจนใกล้ชิดด้วยการเปิดใจและเข้าใจ   นอกจากนี้ยังเจือความเข้มทางอารมณ์ด้วยการเผยข้อมูลเล่ห์เหลี่ยมกลยุทธ์ของการโฆษณาที่เอารัดเอาเปรียบผู้บริโภคล่อหลอกเด็กและเยาวชนให้หมกมุ่นอยู่กับรสนิยมและค่านิยมที่ไม่ถูกต้อง  อีกทั้งยังระทึกใจกับการคลี่คลายเรื่องราวของเพื่อนผู้สาบสูญที่บรรดาเพื่อน ๆ ช่วยกันแกะรอยจากหลักฐานต่าง ๆ ที่ทิ้งไว้อย่าง    แยบยล สาระและบันเทิงของนวนิยายเรื่องนี้ถูก “ปรุงรส”  ด้วยกลวิธีทางวรรณศิลป์ที่นวลเนียนด้วยการสร้างตัวละครมีชีวิตชีวามีบุคลิกเฉพาะตัว   เวลาในเรื่องที่ตัดสลับไปมาระหว่างอดีตและปัจจุบันบทสนทนาที่ใกล้เคียงคำพูดที่ใช้ในชีวิตจริงเหมาะสมกับกาลเทศะและบุคลิกของตัวละคร การแทรกทัศนะวิพากษ์วิจารณ์สังคม  อย่างแหลมคมชวนคิด   การแฝงอารมณ์ขันในถ้อยคำสำนวนที่สร้างสรรค์ขึ้นใหม่  และการสร้างลีลาภาษาเฉพาะตัวที่โดดเด่นจนเป็นอัตลักษณ์   ซึ่งสะท้อนพรสวรรค์ความเป็นนักเขียนอย่างชัดเจนทั้ง ๆ ที่เป็นผลงานเขียนเรื่องแรก แม้นวนิยายเรื่อง เสือเพลินกรง จะเป็นเรื่องราวของคนกลุ่มเล็ก ๆ กลุ่มหนึ่ง  แต่ก็ชวนให้ผู้อ่านคิดไกลไปว่าเราทั้งผองต่างเพลิดเพลินอยู่ในกรอบกรงของสังคม  จนอาจลืมคิดไปว่าการใช้ชีวิตอย่างมีอิสระเสรีนั้นเป็นอย่างไร   ดังนั้นเพียงแค่เราใจกล้าพอที่จะทลายกรอบกรงนั้น   เราก็จะได้ลิ้มรสความหวานหอมของอิสรภาพแห่งชีวิต ด้วยคุณค่าโดดเด่นทางด้านเนื้อหา  ความคิด  ภาษาและกลวิธีทางวรรณศิลป์  นวนิยายเรื่อง  เสือเพลินกรง  จึงได้รับการตัดสินให้ได้รับรางวัลชนะเลิศ  รางวัลเซเว่นบุ๊คอวอร์ด  ประจำปี  2553

หมอกขาวอาบดอยเขียว

เป็นรวมบทกวีที่มีเนื้อหาสาระสะท้อนความภาคภูมิใจในความเป็น “คนเมือง” หรือคนภาคเหนือได้อย่างมีพลัง โดยนำ “คำเมือง” มาสอดใส่ในผลงานได้อย่างมีวรรณศิลป์ รวมทั้งหยิบยืมความรุ่มรวยทางรูปแบบวรรณกรรมล้านนามาใช้ได้อย่างเหมาะสมกลมกลืน แม้จะมีข้อด้อยเชิงฉันทลักษณ์อยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ทำให้เกิดการลดทอนพลังในการนำเสนอความประทับใจโดยภาพรวม

MY INSPIRATION

MY INSPIRATION เป็นการรวมผลงานการ์ตูนสั้น 7 เรื่อง “THE DUANG”  ผู้สร้างเรื่องและภาพ วางเค้าโครงเรื่องแต่ละเรื่องได้อย่างลึกซึ้งและแสดงให้เห็นถึงสภาวะแก่นแท้ของมนุษยชนที่ยังเป็นปุถุชน ในแง่มุมที่คมคายและแตกต่างกันออกไป สื่อสารด้านจิตใจและความคิดได้อย่างลุ่มลึก ใช้สัญลักษณ์ในการสื่อความคิดสู่ผู้อ่าน และแสดงความเป็นจริงในชีวิตประจำวัน แสดงวิถีชีวิตที่ดำเนินเรื่องด้วยภาพในรูปแบบใม่ โดยกำหนดหน้ากระดาษหนังสือเป็นกรอบดำเนินเรื่อง การสร้างภาพประสานกับเรื่องได้อย่างดี มีอารมณ์บุคลิกกลมกลืนกับเนื้อเรื่อง ลีลาเส้นสายฝีมือและเทคนิคการวาดภาพสวยงามทันสมัย เรื่องที่โดดเด่นในเล่มคือ RETURN  เป็นการ์ตูนที่เล่าเรื่องด้วยภาพ โดยไม่มีบทบรรยายและบทพูด เนื้อหาโดยรวมสะท้อนปัญหาของวัยรุ่น โดยเฉพาะการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันสมควร ปัญหาที่ตามมาคือตั้งครรภ์และมีบุตรโดยพ่อแม่วัยรุ่นซึ่งยังไม่พร้อมจะมีความรับผิดชอบ นอกจากนี้ ผู้เขียนยังสะท้อนภาพปัญหาสังคมผ่านการ์ตูนเรื่องอื่น ๆ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นมุมมองที่น่าสนใจ “MY INSPIRATION” ให้คุณค่าแง่คิดด้านปรัชญาและสังคม ผ่านสายตาของคนรุ่นใหม่

สยามหลากเผ่าหลายพันธุ์

หนังสือเล่มนี้เป็นบทความที่ได้มาจากการสัมภาษณ์บุคคลต่าง ๆ ถึง 22 คน ที่หลากหลายเผ่าพันธุ์จากชุมชนต่าง ๆ ทั่วประเทศไทย และแต่ละคนล้วนมีความภูมิใจในเผ่าพันธุ์ของตน แม้ทุกคนจะรักและเต็มใจเสียสละให้ประเทศไทย แต่ก็ยังต้องการรักษาเอกลักษณ์ชาติพันธุ์ของตนเอง ชี้ชัดว่าสังคมไทยเป็น “พหุสังคม” คือมีผู้คนหลากหลายวัฒนธรรมมารวมกันอย่างกลมกลืน สงบสุข งานเขียนมีลักษณะเป็นสารคดีชีวิตของผู้ดำรงอัตลักษณ์แห่งชาติพันธุ์ตนเองไว้อย่างเด่นชัด ซึ่งมิได้มีเพียงชนเผ่าที่เราคุ้นเคย แต่ยังเจาะลึกถึงเผ่าพันธุ์เล็ก ๆ อย่างชาวชอง ชาวลาวครั่ง ฯลฯ ซึ่งเกิดจากการที่ผู้เขียนพากเพียรเดินทางไปสัมภาษณ์ แล้วนำมาเรียบเรียงเป็นสารคดีที่มีคุณค่าเชิงวรรณศิลป์ มีข้อมูลน่าเชื่อถือ อันเกิดจากการค้นคว้า ศึกษา วิจัย ส่งผลให้เป็นหนังสือชวนอ่าน จุดประกายความคิดให้สังคมตระหนักว่า ความภาคภูมิใจในตนเองควรอยู่บนพื้นฐานของการเคารพและเข้าใจคนอื่นด้วย กลวิธีการนำเสนอของหนังสือเล่มนี้น่าสนใจ เพราะใช้การสัมภาษณ์บุคคลชาติพันธุ์ต่าง ๆ แล้วนำมารวมไว้ในเล่มเดียว จึงให้เห็นภาพกว้างของความหลากหลายของชนเผ่าในประเทศไทย ด้วยวิธีเขียนที่ไม่เป็นทางการมากเกินไปจึงอ่านสนุก พร้อมกับมีเรื่องเล่าต่าง ๆ ที่น่าทึ่ง และแสดงสายสัมพันธ์ระหว่างชนเผ่าต่าง ๆ ให้เห็น ทั้งจากการตั้งสมมติฐาน การเก็บข้อมูล และการสัมภาษณ์ จึงเป็นหนังสือให้ความรู้ด้วยภาษาง่าย ๆ และอ่านได้ด้วยความเพลิดเพลิน ทรงคุณค่าแก่การเป็นหนังสือชนะเลิศรางวัลเซเว่นบุ๊คอวอร์ดประเภทสารคดีชาติพันธุ์วิทยา ประจำปีพุทธศักราช 2554

นักล่าผู้น่ารัก

นักล่าผู้น่ารักเป็นนวนิยายเกี่ยวกับสุนัขที่นำเสนอโดยเน้นเรื่องราวชีวิตของสุนัขสองตัวที่มีภูมิหลัง และพฤติกรรมแตกต่างกัน แต่ชะตาชีวิตทำให้ได้พบและร่วมเดินทางผจญภัยจนเกิดมิตรภาพแน่นแฟ้น และนำไปสู่ความสำเร็จ แม้ว่าเป็นเรื่องของสัตว์เลี้ยงธรรมดา แต่หนังสือเรื่องนี้ก็มีความโดดเด่นด้วยโครงเรื่องที่สนุกสนานให้สาระความรู้ที่มีประโยชน์ และสอดแทรกข้อคิดที่เหมาะสมไว้อย่างแยบยล “นักล่าผู้น่ารัก” มีองค์ประกอบของวรรณกรรมเยาวชนที่ดี ทั้งในด้านโครงเรื่อง ตัวละคร แนวคิดและสำนวนภาษา โครงเรื่องสนุกสนานชวนติดตาม มีปมปัญหาและข้อขัดแย้งทั้งในด้านความคิดจิตใจของตัวละครและเหตุการณ์ต่าง ๆ ซึ่งตัวละครต้องใช้สติปัญญา ความกล้าหาญ และความร่วมมือแก้ปัญหาโดยไม่เคยสิ้นความหวัง ตัวละครมีความชัดเจนทั้งรูปร่างลักษณะ ความคิดและความรู้สึก ด้วยการบรรยายเรียบง่าย บทสนทนาที่เหมาะสมกับบทบาทและบุคลิกของตัวละคร และข้อมูลพื้นฐานพฤติกรรมของตัวละคร ผู้ประพันธ์มีกลวิธีที่แนบเนียนในการนำเสนอแนวคิด โดยสะท้อนตัวละครเอกที่มีความแตกต่างและความขัดแย้งกัน แต่เมื่อต้องเดินทางร่วมทุกข์ร่วมสุข ฟันฝ่าอุปสรรคอันตรายต่าง ๆ ซึ่งเกิดมิตรภาพแน่นแฟ้นเป็นที่ประทับใจ สะท้อนแนวคิดและคุณธรรมด้านความสุขของการเป็นผู้ให้ ความเอื้อเฟื้อ การยอมรับและรับฟังผู้อื่น ความกล้าหาญอดทน ความหวัง ซึ่งช่วยให้ผ่านพ้นอุปสรรคไปสู่เป้าหมายที่ต้องการได้ นอกจากนี้ยังเสนอความคิดต่อสังคมเรื่องสัตว์เลี้ยงผ่านบทสนทนาของตัวละครที่เป็นคน โดยสะท้อนพฤติกรรมของผู้ที่รักและเมตตาสัตว์อย่างแท้จริง ซึ่งจะคงอยู่ตลอดไปกับผู้ที่รักอย่างมีเงื่อนไข หรืออาจเปลี่ยนเป็นความโหดร้ายและการทอดทิ้ง  เมื่อสิ้นประโยชน์หรือเสื่อมค่าลง ผู้ที่มีสัตว์เลี้ยงจึงต้องมีความรัก ความเมตตา และรับผิดชอบดูแลสัตว์เลี้ยงของตนตลอดไป หนังสือเรื่องนี้เรียบเรียงด้วยสำนวนภาษากระชับสละสลวย และมีความไพเราะงดงามสอดคล้องกับเนื้อหา มีการเปรียบเทียบคมคาย  ให้ภาพพจน์และเข้าใจง่าย การนำเสนอเนื้อหาแบ่งเป็นบทย่อย มีการขึ้นต้น และจบบทที่สอดรับสัมพันธ์กันอย่างดี และแทรกภาพประกอบสวยงามเข้ากับเนื้อเรื่อง นับเป็นหนังสือที่มีคุณค่า ทั้งสำหรับเยาวชนและผู้ใหญ่ หนังสือเรื่อง “นักล่าผู้น่ารัก” จึงสมควรได้รับการยกย่องเป็นหนังสือดีเด่นรางวัลชนะเลิศ “เซเว่น บุ๊คอวอร์ด” ประเภท “วรรณกรรมสำหรับเยาวชน” ประจำปี พ.ศ. 2554

น้ำเล่นไฟ

นวนิยายเรื่องน้ำเล่นไฟของกฤษณา อโศกสิน นำเสนอคุณค่าของอาชีพเกษตรกรรม ผ่านเรื่องราวของครอบครัวเกษตรกรหัวก้าวหน้าไปพร้อมกับครอบครัวเศรษฐีเจ้าของตลาดสดสมัยใหม่  ทั้งสองครอบครัวมีลักษณะที่เหมือนกันคือประกอบอาชีพด้วยจิตใจมุ่งมั่น ขยันขันแข็ง อดทน และดำรงตนด้วยความซื่อสัตย์ อดออม ประกอบกับใช้สติปัญญาความรู้ที่สืบทอดจากภูมิปัญญาดั้งเดิมของบรรพบุรุษ และนำแนวพระราชดำริเรื่องเกษตรทฤษฎีใหม่และหลักเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการทำมาหาเลี้ยงชีพและดำรงตน ให้พอดี พอประมาณ และพอใจ อันสร้างความสุขแก่บุคคลและสังคมอย่างยั่งยืน เส้นทางของเกษตรกรผู้ผลิตสินค้าคุณภาพ ปลอดสารพิษ ที่ใส่ความรักความอาทรลงในทุกพืชผลและพื้นดิน รับผิดชอบต่อชีวิตและสิ่งแวดล้อม จึงมาบรรจบกับนายทุนเจ้าของตลาดผู้มีเจตนารมณ์ในการจำหน่ายสินค้าดี สร้างเสริมคุณภาพชีวิตแก่ผู้บริโภค พร้อมกับดำเนินธุรกิจของตนให้เป็นตลาดสดครบวงจรที่สะอาด สะดวก ปลอดภัย เป็นธรรม และเป็นมิตรทั้งผู้ขายและผู้ซื้อ นายทุนและเกษตรกรดูเหมือนจะเป็นคู่ตรงข้าม โดยฝ่ายหนึ่งเป็นผู้เอาเปรียบ อีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้เสียเปรียบ แต่ในนวนิยายเรื่องนี้ ผู้ประพันธ์แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่แลดูเหมือนอยู่คนละขั้ว คนละฝ่าย อาจจะไม่ใช่สิ่งที่แย้งกัน หากแต่อาจจะเป็นสิ่งที่เสริมให้อีกฝ่ายหนึ่งโดดเด่นขึ้นเมื่อความสัมพันธ์นั้นเดินไปตามธรรมะ ตามธรรมชาติ น้ำเป็นสิ่งที่อยู่ตรงข้ามกับไฟ หากแต่แสงเจิดจ้าของไฟที่ส่องกระทบน้ำทำให้เกิดประกายระยิบระยับ คลื่นน้ำและแสงไฟจึงเล่นล้อกันไปมาเป็นภาพงดงามจับใจ ดังข้อความที่ผู้ประพันธ์บรรยายไว้ว่า “เมื่อยามลมพันมาพาเอาระลอกน้ำในนากุ้งแล่นละลิ่วพลิ้วตามกัน ครั้นกระทบแสงอาทิตย์อันกราดกล้า ก็ยิ่งสะท้อนประกายพาให้น้ำระยิบระยับจับนัยน์ตามจำเริญใจ” ดังนั้น นวนิยายเรื่องน้ำเล่นไฟจึงเสนอให้เห็นว่านายทุนเกษตรกรต่างต้องพึ่งพาเกื้อกูลส่งเสริมซึ่งกันและกัน อันเป็นการดำเนินเศรษฐกิจแบบสร้างสรรค์ โดยมีเป้าหมายในการส่งเสริมคุณภาพของชีวิต คุณภาพของสังคม คุณภาพของประเทศชาติ และคุณภาพของประชาคมโลกในที่สุดถึงแม้ว่านวนิยายเรื่องนี้จะนำเสนอประเด็นทางสังคมที่หนักหน่วง แต่ผู้ประพันธ์ก็มิได้ละเลยเสน่ห์ของนวนิยายที่ชวนอ่านด้วยการสร้างปมขัดแย้งในครอบครัว ปมขัดแย้งในใจของตัวละคร และความไม่ลงรอยกันของตัวละครคู่เอก ซึ่งในที่สุดก็คลี่คลายลงด้วยดี เพราะมีความรักและอุดมคติไปในทิศทางเดียวกัน ด้วยเหตุที่นวนิยายเรื่องน้ำเล่นไฟมีความโดดเด่นในด้านเนื้อหาแนวคิดที่สร้างสรรค์ การสร้างตัวละครที่มีชีวิตชีวา การนำเสนอรสอารมณ์ที่บันเทิงใจ ภาษาและกลศิลป์ที่เนียนงามด้วยฝีมือของผู้ประพันธ์ที่ได้รับการเชิดชูเกียรติเป็นศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ คณะกรรมการจึงมีมติให้นวนิยายเรื่องนี้ได้รับรางวัลชนะเลศ รางวัลเซเว่นบุ๊คอวอร์ด ประจำปี 2554

Seed of Dream

เป็นหนังสือทำมือรูปเล่มกะทัดรัด ภาพการ์ตูนมีลายเส้นและสีสันที่สวยงามแบบเรียบง่าย จัดวางให้อ่านสบาย ๆ เนื้อหาให้แง่คิดเชิงปรัชญาชีวิต ทำให้ตระหนักถึงคุณค่าของตนเองและสังคม สร้างสุขและเสริมกำลังใจให้กับผู้อ่าน

สยามสิกขานุโยค

รวมบทกวี สยามสิกขานุโยค ของสิทธิศักดิ์ บุญมา  มีความโดดเด่นเป็นอย่างยิ่งในการนำเสนอเนื้อหา และวิธีคิดที่มีต่อสังคมการศึกษาของประเทศอย่างแหลมคม โดยใช้รูปแบบที่หลากหลาย เช่นการเรียงรูปแบบเนื้อหาให้มีลักษณะคล้ายเป็นข้อสอบปรนัย  เป็นจดหมาย  หรือการนำเนื้อหาในศิลาจารึกสมัยสุโขทัยมาเขียนยั่วล้อด้วยเนื้อหาวิพากษ์สังคมสมัยใหม่ ใช้รูปแบบการเขียนโดยไม่มีย่อหน้าลักษณะเดียวกันกับหลักศิลาจารึก ผุ้เขียนสามารถใช้ภาษาเพื่อสื่อความคิดได้อย่างมีประสิทธิภาพแม้จะมีข้อบกพร่องทางฉันทลักษณ์อยู่บ้าง แต่ยังโดดเด่นด้านเนื้อหาและรูปแบบการนำเสนอ

ณ กาลครั้งหนึ่งซึ่งมีรัก

เรื่อง “ณ กาลครั้งหนึ่งซึ่งมีรัก” เป็นหนังสือรวมนิยายภาพสั้น ๆ  6 เรื่องไว้ในเล่มเดียวกัน แต่ละเรื่องมีวิธีการนำเสนอเนื้อหาและภาพได้ดีมาก  มีความทันสมัยทั้งด้านเทคนิคการวาดและจัดองค์ประกอบภาพ  อีกทั้งการใช้สีในภาพวาดก็ช่วยเสริมบรรยากาศ  สร้างอารมณ์ให้คล้อยตามไปกับเนื้อหาที่ดำเนินไป และผู้เขียนสามารถวาดภาพแสดงความรู้สึกของใบหน้าตัวละครบ่งบอกอารมณ์ได้ดี ทำให้ส่งเสริมเรื่องให้ดูสมจริงขึ้น ทั้งภาพและสีของทุกเรื่องมีความกลมกลืนกันทั้งเล่ม “ณ กาลครั้งหนึ่งซึ่งมีรัก” เป็นผลงานการ์ตูนที่ถ่ายทอดเรื่องราวความรักของมนุษย์ ในหลากแง่มุม หลายอารมณ์ ผ่านมุมมองของนาฬิกาทราย เสนอเรื่องราวของความรักความผูกพันระหว่าง พ่อ แม่ ลูก ความรักที่มีความอบอุ่น ห่วงใย ความเข้าใจ ห่วงหาอาทร และความสูญเสีย แสดงให้เห็นช่วงชีวิต ภาระหน้าที่การงาน การดำเนินชีวิต เนื้อเรื่องลึกซึ้งกินใจ สามารถดึงความรู้สึกพื้นฐานในตัวตนของมนุษย์ออกมาให้ผู้อ่านมองเห็นได้ชัดเจน สามารถชี้ให้เห็นความเป็นจริงของชีวิต ให้แง่คิดที่ดี ให้ความรู้สึกสะเทือนอารมณ์ อ่านแล้วทำให้ตระหนักถึงคุณค่าของความรักและเสริมคุณค่าทางใจ

เวลาของชาติ

“เวลาของชาติ” เป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นจำนวน 8 เรื่องของกิติวัฒน์ ตันทะนันท์ ที่มีความโดดเด่นทั้งในด้านเนื้อหาและวรรณศิลป์  ผู้แต่งนำเสนอเหตุการณ์และเรื่องราวอันหลากหลายของผู้คนในสังคม  โดยเน้นย้ำถึงเบื้องลึกของความคิด  อารมณ์ และความรู้สึก ซับซ้อนลุ่มลึกภายในตัวตนของมนุษย์ต่างสถานะ ต่างเพศ และต่างวัย  บางเรื่องกล่าวถึงความรู้สึกโหยหาอดีตอันเปี่ยมสุข  ได้แก่เรื่อง “เวลาของชาติ” บางเรื่องกล่าวถึงอารมณ์เหงาเศร้าร้าวรานของคนชราที่ปรารถนาจะได้รับไออุ่นจากลูกหลาน ได้แก่เรื่อง “บ้านสัตว์เลี้ยง”  บางเรื่องกล่าวถึงมิติแห่งความรักและความสัมพันธ์ของหนุ่มสาวในปัจจุบันสมัย ได้แก่ เรื่อง “วีณา” ฯลฯ ผู้แต่งมีความสามารถในการใช้ภาษาที่มีพลัง  กินใจ  และประทับใจ  เลือกใช้ลีลาโวหารในแต่ละเรื่องได้อย่างสอดคล้องกับเนื้อหา  เป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นร่วมสมัยที่ควรค่าแก่การอ่านอย่างยิ่งเล่มหนึ่ง หนังสือรวมเรื่องสั้น “เวลาของชาติ” จึงสมควรได้รับรางวัลชนะเลิศรางวัล  เซเว่นบุ๊คอวอร์ด ประเภทรวมเรื่องสั้น ประจำปี พ.ศ. 2555

เรื่องเล่าจากร่างกาย

เป็นหนังสือวิทยาศาสตร์ที่อ่านง่าย โดยเล่าเรื่องการทำงานของร่างกายและสมองของมนุษย์ผ่านวิวัฒนาการ อันจะช่วยให้เราเดินผ่านปัจจุบัน สู่อนาคตได้อย่างเหมาะสม เป็นเรื่องที่มนุษย์ทุกคนควรรู้ ส่งเสริมให้เกิดความมั่นคงทางจิตใจ ไม่อ่อนไหวง่าย ผู้เขียนมีกระบวนการหาข้อมูลมารวบรวมได้อย่างน่าทึ่ง มีกลวิธีการเขียนที่เรียบง่ายชัดเจน และเลือกประเด็นที่หาได้ยากในหนังสือไทย โดยใช้ความพยายามในการเขียนอธิบายได้อย่างน่ามหัศจรรย์ใจ “เรื่องเล่าจากร่างกาย” จัดเป็นหนังสือสารคดีที่มีเนื้อหาหลากหลาย โดยมีจุดศูนย์กลางของมนุษย์ที่นักปรัชญาเรียกว่า “อนุจักรวาล” ซึ่งผู้เขียนบรรจงเลือกคำพูดและสำนวนโวหารเพื่อจูงใจผู้อ่าน ให้ติดตามเรื่องได้อย่างต่อเนื่อง ไม่น่าเบื่อ มีความสนุกเพลิดเพลิน คลุกเคล้าด้วยสาระความรู้ที่น่ารู้ และมีประโยชน์ตลอดทั้งเล่ม เป็นหนังสือที่จุดประกายความคิด พัฒนาสำนึกเชิงสร้างสรรค์ชีวิตและสังคมอย่างยิ่ง  

เพื่อรอยยิ้มเมื่อสิ้นลม เล่ม 1-2

บันทึกเรื่องจริงที่เล่าผ่านประสบการณ์ของพยาบาล โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ ในการช่วยเหลือผู้ป่วยระยะสุดท้าย ที่นอกจากจะมีทุกข์ทางกายแล้ว ยังมีทุกข์ทางจิตใจ ทำให้ผู้ป่วยสามารถยิ้มได้เมื่อสิ้นลม นับแบบอย่างที่ดีของความเห็นอกเห็นใจ ความเสียสละเพื่อผู้อื่น ความสุขที่แท้จริงเกิดจากการให้ยิ่งกว่าการรับ คุณค่าความเป็นมนุษย์ สมบูรณ์ได้ด้วยการทำความดี มีเมตตา กรุณา ช่วยเหลือผู้อื่น ช่วยเหลือสังคม โดยไม่หวังผลตอบแทน ผู้เขียนใช้เวลาถึง 2 ปี เพื่อพูดคุย รวบรวมเรื่องราว สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามในการเก็บข้อมูลที่รอบด้าน ทำให้คนอ่านตระหนักว่า ความตายเป็นเรื่องใกล้ตัว ชีวิตกับความตายนั้นเป็นของคู่กัน  เสริมส่งให้ผู้อ่านมีสติในการดำเนินชีวิต เข้าใจถึงสัจธรรมแห่งธรรมชาติ ที่ให้ความเป็นธรรมกับทุกชีวิตโดยเท่าเทียมกัน คือความตาย ความไม่เที่ยงแท้แน่นอน เป็นการเล่าเรื่องด้วยภาษาง่าย  ๆ สั้น กระชับ แต่สะเทือนใจให้แง่คิด ทรงคุณค่าทางวรรณศิลป์ จึงเป็นหนังสือสำหรับการเตรียมตัวในเรื่อง “มรณานุสติ” ที่ดียิ่ง

ในรูปเงา

นวนิยายเล่มบางเรื่องในรูปเงา ของ เงาจันทร์  ผูกเรื่องจากปมของความรักและความแค้นอันเป็นกิเลสสำคัญที่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตมนุษย์จากหน้ามือเป็นหลังมือ   นวนิยายเรื่องนี้ใช้โครงเรื่องตามขนบที่นิยมกันแบบหนึ่ง คือ โครงเรื่องรักสามเส้า  ซึ่งมี 2 วงเหลื่อมซ้อนกัน  วงแรกคือความรักของพร้อม พลิ้ว และเจ้าดอกรุงรัง  ซึ่งเป็นวัวที่พร้อมซื้อมาให้พลิ้วเลี้ยงตั้งแต่ยังเล็ก  แต่เขาเคยเขียนตีมันอย่างรุนแรงเพื่อระบายความเจ็บแค้นในใจ  เจ้าดอกรุงรังจึงอาฆาตแค้นพร้อมไม่รู้เลิกรา  พลิ้วจึงมีทั้งความรักและความแค้นให้เจ้าวัวเลี้ยงของตนไปพร้อม ๆ กัน  รักสามเส้าวงที่สองคือความรักของพร้อม พลิ้ว และว่าน  พลิ้วรักว่าน แต่ว่านรักพร้อม  ส่วนพร้อมก็รักลูกชายของตนจึงยอมเก็บงำความลับเร้นเอาไว้  เมื่อพลิ้วล่วงรู้โศกนาฏกรรมจึงเกิดขึ้น   เจ้าดอกรุงรังและว่านจึงพรากพร้อมและพลิ้วให้จากกันชั่วนิรันดร์กาล นวนิยายเรื่องนี้เป็นงานวรรณศิลป์ที่นำเสนอเรื่องเสน่หาอารมณ์อันเป็นธรรมชาติของสรรพสัตว์  นอกจากความรักความใคร่ของมนุษย์แล้ว  ฉากของวัวหนุ่มกับวัวสาวที่กำลังติดสัด  จริตของวัวสาวที่เย้ายวนวัวหนุ่มที่มันหมายปอง  วัวสาวใจเสรีที่เลือกวัวหนุ่มแปลกหน้ามากกว่าวัวหนุ่มในฝูง  ฉากหึงหวงของเหล่าวัวหนุ่มกลัดมันที่กลุ้มรุมทำร้ายวัวต่างถิ่นที่ได้ใจวัวสาวไปครอง  ฉากอันน่าตื่นเต้นระทึกใจเหล่านี้ล้วนเป็นภาพสะท้อนของพฤติกรรมมนุษย์อย่างแยบคาย   ดังนั้น เหล่าวัวในท้องทุ่ง  โดยเฉพาะเจ้าดอกรุงรัง  จึงไม่ใช่เป็นเพียงสัตว์เลี้ยงประกอบฉากทุ่งนา  หากแต่เป็นเงาสะท้อนกลับไปกลับมาระหว่างธรรมชาติสัตว์กับธรรมชาติมนุษย์   โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฉากจบของเรื่อง  การชำระแค้นตามสัญชาตญาณของสัตว์ที่ถูกทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส  กับการคุมแค้นของมนุษย์จนสามารถปล่อยให้ความตายเกิดขึ้นต่อหน้าต่อหน้าโดยไม่แยแส  กลมกลืนรวมเป็นเนื้อเดียวกันจนไม่มีอะไรแตกต่าง ไม่ว่าคนหรือสัตว์ล้วนมีความดิบ เถื่อน ของสัญชาตญาณมืด  ซึ่งหากขาดการควบคุมเสียแล้ว  มนุษย์ผู้ประเสริฐก็ไม่ต่างจากสัตว์เดรัจฉาน เพียงวาบเดียวของโทสะจริต ก็สามารถทำลายความรักและบุคคลที่รักได้หมดสิ้น  นวนิยายเรื่องนี้จึงเป็นโศกนาฏกรรมที่บีบหัวใจผู้อ่านไม่แพ้นวนิยายรักคลาสสิกในอดีต ความรัก ความแค้น ความสวยงาม  ความโหดร้าย  ความนุ่มนวล  ความดิบเถื่อน  ต่างสอดร้อยกันไปมาอยู่ในพฤติกรรม  ในอารมณ์ของมนุษย์และสัตว์  ในสีสันของต้นไม้ ดอกไม้ ของฝูงแมงปอริมคลองอันร่มรื่น   ในรูปเงาที่เต้นไหวอยู่บนรั้วขัดแตะ  เป็นองค์ประกอบที่จัดวางไว้ลงตัว ไม่ขาดไม่เกิน และหนุนส่งให้เรื่องราวในนวนิยายดำเนินไปอย่างมีพลังอารมณ์เข้มข้น ในรูปเงา เป็นนวนิยายที่สามารถตรึงผู้อ่านไว้กับตัวหนังสือตั้งแต่หน้าแรกไปจนหน้าสุดท้าย  ระหว่างที่อ่านจะรู้สึกว่าเส้นประสาทกล้ามเนื้อขมวดเขม็งบิดเกลียวอยู่ข้างใน  ใจเต้นระทึกตึกตัก  บางครั้งรู้สึกเหมือนลืมหายใจ จนต้องระบายลมหายใจเฮือกใหญ่ที่กลั้นไว้อย่างไม่รู้ตัวเมื่อปิดหน้าหนังสือลง

โถงสีเทา

หากเปรียบชาตกรรมเป็นสีขาว ซึ่งหมายถึงจุดเริ่มต้นอันสว่างไสวของการเกิดและมรณกรรมเป็น  สีดำ ซึ่งหมายถึง การดับวูบของแสงแห่งชีวิตไปสู่ความมืดมนอนธกาลของเขตแดนแห่งการไม่หวนคืน       สีเทาที่อยู่ระหว่างภาวะแห่งการเปลี่ยนผ่านนี้ คงได้แก่ ความเจ็บไข้จากโรคาพยาธิและการเสื่อมไปของสังขาร ภายใน “โถงสีเทา” ซึ่งเป็นฉากหลักของนวนิยายชื่อเรื่องเดียวกันนี้   ผู้เขียนคือ “เข็มพลอย” ได้นำขั้วตรงข้ามหลายขั้ว   ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นสีดำ-สีขาวมาเผชิญหน้ากัน   บางครั้งนำมาผสมผสานกันจนเป็นสีเทา   หลายครั้งได้สลายขั้วตรงกันข้ามนั้นและคลี่คลายไปสู่ความเข้าใจร่วมกัน ผู้เขียนได้หยิบยื่นพื้นที่อันเท่าเทียมกันให้แก่ตัวละครหลัก 2 กลุ่มคือแพทย์และผู้ป่วยได้เปล่งเสียงของตนออกมา  ผู้ป่วยโรคมะเร็งต้องต่อสู้ระหว่างความเป็น-ความตาย การรอดชีวิต-การพ่ายแพ้ต่อโรคร้าย รวมถึงชะตากรรมในเงื้อมมือญาติหรือคนในครอบครัวที่เลือกจะดูแลผู้ป่วยด้วยความเข้าใจหรือปล่อยไปตามยถากรรม  ส่วนแพทย์เอง-ได้เผชิญหน้ากับหลายประเด็นที่เป็นกรณีวิพากษ์อันเผ็ดร้อนในสังคม  เป็นต้นว่า จรรยาบรรณของแพทย์ การแปรเปลี่ยนอาชีพอันทรงเกียรติไปในเชิงพาณิชย์  การที่คนไข้หรือญาติคนไข้ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย หรือการร้องเรียนเนื่องจากการรักษาบกพร่อง จุดเด่นจุดด้อยของโรงพยาบาลรัฐ และโรงพยาบาลเอกชน ซึ่งครอบคลุมถึงการบริหารจัดการระบบสาธารณะสุขโดยรวม-มุมมองด้านลบต่อสถาบันการรักษาพยาบาล ได้รับการทำให้สมดุลผ่านทัศนะและภาพการทำงานของแพทย์กลุ่มหนึ่งที่ยังคงรักษาอุดมคติในการอุทิศตนให้แก่การผดุงชีวิตมนุษย์   ผู้อ่านได้เห็นภาพและเกิดความเข้าใจในการทำงานและสภาพจิตใจของคนทั้งสองฝ่ายเป็นอย่างดี ท่ามกลางการชักเย่อระหว่างความเป็นและความตายในห้องโถงสีเทาอันเคร่งเครียด  ผู้แต่งบรรเทาความหดหู่ของผู้อ่านด้วยการสอดแทรกสุนทรียะทางดนตรีเติมแต้มไปในฉากต่าง ๆ  เพื่อให้เห็นว่าในท่ามกลางความเศร้าหมองเป็นทุกข์ของผู้ป่วยไข้และเหล่าญาติ  ยังมีมิตรอารีผู้ให้กำลังใจด้วยเสียงดนตรี  และด้วยการช่วยเหลือให้คำแนะนำ   นอกจากนี้  ผู้เขียนไม่บกพร่องในการนำเสนอความเป็นนิยายที่ชวนติดตาม ผ่านความรักของหนุ่มสาวสองคู่ซึ่งมีปัญหาหนักที่ต้องตัดสินใจเพื่อหาทางออกที่ดีที่สุดสำหรับการครองชีวิตคู่    อันทำให้ โถงสีเทา เป็นนวนิยายที่มีสมดุลระหว่างการนำเสนอความจริงของชีวิตและสังคมกับความเป็นนวนิยายที่อ่านแล้วรื่นรมย์ใจ

สู่ทางแห่งความฝัน On The way dream

เป็นหนังสือที่นำเสนอข้อคิดปรัชญาได้ดี ชัดเจน มีเนื้อหาสาระดี ลายเส้นสวยงามสะอาดตาอ่านงาน มีกลวิธีดำเนินให้ชวนติดตามและนำผู้อ่านให้ติดตาม

อินเดีย จาริกด้านใน เล่ม 1-3

เป็นงานเขียนเชิงสารคดีชั้นเยี่ยม  ประสานมิติทางจิตวิญญาณในการเดินทางเข้าไปยังส่วนลึกของจิตใจ ขนานกับการจาริกไปยังสถานที่ต่าง ๆ ภายนอก ความจัดเจนในการบรรยายที่นำเสนอในรูปจดหมายและความงามละเมียดละไมของภาษา พาผู้อ่านก้าวย่างไปพร้อมผู้เขียนจนคล้ายไปประสบภาพ แสง กลิ่น และเสียง ด้วยตนเอง เนื้อหาเปี่ยมคุณภาพ บรรจุไปด้วยข้อมูลทั้งลึกและกว้าง ให้ความรู้หลากหลายทั้งด้านประวัติศาสตร์ ปรัชญา โบราณคดีและวัฒนธรรมที่ลุ่มลึกของอนุทวีป มุมมองและความเข้าใจที่ตกผลึกต่อสิ่งต่าง ๆ ที่ผู้เขียน  สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อ่านเขม้นมองและตั้งคำถามเกี่ยวกับการเดินทางของตนเอง รวมทั้งส่ง “สาร” แห่งการค้นพบที่สำคัญยิ่ง ซึ่งก็คือการค้นพบตัวเอง การไม่ยึดมั่นในอัตตา เพื่อบรรลุถึงความเป็นมนุษย์ที่แท้

ออกไปข้างใน

ออกไปข้างใน โดยนฆ  ปักษนาวิน เป็นรวมเรื่องสั้นจากทั้งหมด 10 เรื่อง ที่ประกอบด้วยความหลากหลายทั้งตัวเรื่อง สถานที่ และเทคนิคการเล่าเรื่อง มีความทับซ้อนชวนให้ตีความได้หลายนัย ผ่านการเล่าเรื่องด้วยมุมมองที่แปลกใหม่ รวมทั้งการสร้างสรรค์เนื้อหาที่มีสาระผูกโยงทั้งด้านประวัติศาสตร์ การเมือง สังคม ชีวิต และภาวะภายในของปัจเจกบุคคล โดยไม่หวังตั้งคำถามและไม่ต้องการคำตอบที่ชัดเจน แต่ให้สัมผัสได้ด้วยความคิดคำนึง เรื่องราวบางเรื่องอาจเป็นอดีตที่สังคมรับทราบ เช่น เหตุการณ์เดือนตุลาคม 2516-2519 แต่ผู้เขียนใช้การบอกเล่าด้วยมุมมองที่แตกต่าง ด้วยศิลปะและวรรณศิลป์ผ่านมิติเวลาที่ทับซ้อน ซึ่งเป็นเสน่ห์ในภาพรวมของหนังสือเล่มนี้ อนึ่ง ผู้เขียนได้ฉายภาพมุมกว้างเพื่อมองภาพรวมของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์แสดงให้เห็นความโดดเดี่ยวท่ามกลางสังคมพลุกพล่าน เห็นอุดมคติท่ามกลางความไร้สาระ เห็นความเชื่อที่โยงใยอยู่ ลึก ๆ เบื้องหลัง เห็นความมืดบอดเมื่อค้นหาเข้าไปด้านลึกภายในและในการค้นหาทางออกนั้น พบว่าแท้จริงแล้วคือการเดินผ่านไปสู่ความซับซ้อนที่อยู่ภายใน รวมเรื่องสั้น “ออกไปข้างใน” จึงสมควรได้รับรางวัลชนะเลิศรางวัลเซเวนบุ๊คอวอร์ด ประเภทรวมเรื่องสั้น ประจำปี 2556

รากของเรา เงาของโลก

รวมบทกวี รากของเรา เงาของโลก ของสุขุมพจน์  คำสุขุม ประกอบไปด้วย บทกวีจำนวน 40 บท เนื้อหาแบ่งเป็น 2 ภาค ภาคแรก “รากของเรา” และภาคสอง “เงาของโลก” ภาคแรก  “รากของเรา” ผู้ประพันธ์นำเสนอวิถีชีวิตพื้นถิ่นบ้านเกิดภาคอีสาน  ซึ่งมีความผูกพันใกล้ชิดในครอบครัวและบรรพบุรุษ ที่แม้จะต้องทำมาหาเลี้ยงชีวิต แต่มีความรักและความอบอุ่นในครอบครัว ซึ่งยังคงเป็นความสุขในความทรงจำ รวมถึงกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกันของไททั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นไทอีสาน ไทลาวและเผ่าไทในดินแดนอื่น ๆ วิถีชีวิตชาวนาในชนบทอีสานแม้จะต้องเผชิญอุปสรรคนานาประการ แต่การต่อสู้ชีวิตก็เป็นแนวทางที่บรรพบุรุษและหัวหน้าครอบครัวปลูกฝังให้ลูกหลานสืบต่อกันมาดุจรากเหง้าของเผ่าพันธุ์ที่หยั่งลึกท่ามกลางวิถีชีวิตที่เรียบง่ายและเป็นสุขด้วยอาหารพื้นถิ่นอีสาน เช่น ปลาแดก และข้าวจี่ ซึ่งผูกร้อยสายสัมพันธ์ของผู้คนร่วมแผ่นดินถิ่นเกิด ภาคที่สอง “เงาของโลก” ผู้ประพันธ์นำเสนอความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยที่เข้าสู่โลกาภิวัฒน์ สื่อร่วมสมัย เช่น เฟสบุ๊ค อินเทอร์เน็ต เปลี่ยนวิถีของคนไทย ซึ่งดูเหมือนใกล้ชิดแต่ไกลห่างทางความรู้สึกและความเข้าใจ ช่องว่างในสังคมเมืองที่มีผู้ที่เสพสุขอย่างล้นเหลือ รวมถึงผู้พิการที่เข้ามาขอทานเพื่อหาเลี้ยงชีวิต การอพยพเข้ามาอยู่เมืองหลวงของชาวอีสานจึงมิได้นำมาซึ่งความสุข แต่กลับเป็นพิษภัย “กรุงเทพฯ เป็นกรุงท่วม อาบทุกข์อ่วมนครอัน- สูงเด่นเป็นสวรรค์ จะซบหน้าลึกบาดาล” ผู้ประพันธ์ยังเสนอไว้ในบท “ความสุขมวลรวมฉบับสามัญชน”  ว่าความสุขที่แท้จริง คือ ชีวิตที่เรียบง่าย พอมีพอกินในชนบท ความเอื้ออาทรเจือจานซึ่งกันและกัน การรู้จักอยู่และรู้จักประมาณตน ในทัศนะของผู้ประพันธ์ จี.ดี.พี จึงหมายถึง “จึงดีพอ” สำหรับชนชั้นสามัญชน

Green Project

การเล่าเรื่องด้วยภาพ เป็นการ์ตูนสะท้อนปัญหาการจัดการสิ่งแวดล้อมในสถานศึกษาของนักศึกษาโดยคณะนักศึกษาที่มีจิตสำนึกในการอนุรักษ์ธรรมชาติ เนื้อหาของเรื่อง สมจริง ไม่เพ้อฝัน มีประโยชน์ ในแง่ของการสร้างจิตสำนึก กระตุ้นให้เกิดความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมที่อยู่ใกล้ตัวซึ่งก็คือสถาบันของนักศึกษากลุ่มนี้ ฝีมือการวาดภาพ ลายเส้นและการจัดภาพสวยงาม ตัวละครออกแบบได้หลากหลายและมีชีวิตชีวา แสดงอารมณ์ได้ตามเนื้อหาของการ์ตูนอย่างดี ทำให้ผู้อ่านคล้อยตามไปกับเนื้อเรื่องได้ คณะกรรมการจึงเห็นควรให้นิยายภาพ (การ์ตูน) เรื่อง “Green Project” ได้รับรางวัลชนะเลิศ รางวัลเซเว่นบุ๊คอวอร์ด ครั้งที่ 11  ประจำปี 2557 ประเภทรางวัลนักเขียนรุ่นเยาว์ หมวดนิยายภาพ (การ์ตูน)

พุทธโคดม: บทวิเคราะห์เชิงรัฐศาสตร์ว่าด้วยพุทธประวัติในบริบททางเศรษฐกิจ การเมืองและวัฒนธรรมอินเดียสมัยพุทธกาล

เป็นหนังสือที่เปิดมิติใหม่แห่งการศึกษาพุทธประวัติ โดยใช้วิธีพิจารณาบริบททางประวัติศาสตร์  และสภาวะแวดล้อมทางสังคมของอินเดียในยุคพุทธกาล ผ่านการวิเคราะห์ในมุมมองต่าง ๆ ทั้งเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และวัฒนธรรมสมัยพุทธกาล ผ่านเหตุและผลอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ อันจะทำให้ผู้อ่านเข้าใจศาสนาพุทธและพุทธประวัติอย่างมีเหตุผล ผู้เขียนตั้งใจแสดงถึงมนุษยภาวะอันยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้า โดยมีพื้นฐานมาจากงานวิจัย จึงมีการค้นคว้าและข้ออ้างอิงที่น่าเชื่อถือ นำเสนอแนวคิดที่ท้าทายความเชื่อเดิมหลายประการ ทั้งยังใช้ภาษาสำนวนที่สละสลวย เข้าใจง่าย ถือเป็นหนึ่งในความตั้งใจที่จะให้สังคมไทยได้ศึกษาแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาโดยข้ามกรอบที่ฟังตามกันมาไปสู่กรอบแห่งวิจารณญาณ    

MY MANIA 3

คำนิยม การเล่าเรื่องด้วยภาพ มีความสัมพันธ์กลมกลืนกับเนื้อเรื่อง มีการแสดงภาพเชิงสัญลักษณ์ให้ผู้อ่านได้ใช้จินตนาการติดตามเรื่องและปมปริศนา เนื้อหาของเรื่อง วางโครงเรื่องแสดงให้เห็นด้านมืดของปุถุชน เรื่องราวสะท้อนปัญหาสังคมปัจจุบัน การเขียนภาพและเรื่อง สะท้อนออกมาในแนวเหนือจริง เพื่อให้เรื่องน่าสนใจ ตื่นเต้น ชวนติดตาม อาจดูรุนแรงก้าวร้าวไปบ้าง แต่ก็สอดคล้องกับเนื้อหา ซึ่งแฝงสาระให้คิดถึงความจริงบางสิ่งบางอย่างที่ซ่อนเร้นในตัวตนของคน เมื่อใดที่เปิดเผยธาตุแท้ออกมา ก็จะเห็นกิเลสดิบ ๆชัดเจน ฝีมือวาดภาพ มีคุณภาพครบถ้วน สามารถบอกเล่าอุปนิสัยจิตใจของตัวละครจากบุคลิกลักษณะภายนอก กล้ากำหนดมุมภาพ ลักษณะภาพอย่างอิสระ คุณค่า สะท้อนปัญหาที่สังคมมักจะมองข้าม กระตุ้นให้เห็นความสำคัญของการอยู่ร่วมกันในสังคม มีความลึกซึ้งเชิงปรัชญา คณะกรรมการจึงเห็นควรให้นิยายภาพ (การ์ตูน) เรื่อง MY MANIA 3 (รวมเรื่องสั้นจิตหลุด) ได้รับรางวัลชนะเลิศ ประจำปี 2557  

จับต้นมาชนปลาย

นวนิยายเรื่อง “จับต้นมาชนปลาย” นำเสนอชีวิตของมนุษย์ที่ทับซ้อนข้องเกี่ยวกัน          การกระทำทุกอย่างล้วนส่งผลกระเพื่อมไหวไปยังทุกชีวิตที่มาเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันไม่ทางใด           ก็ทางหนึ่ง สร้างเงื่อนปมให้แต่ละชีวิตโยงใยกันอย่างซับซ้อน  สิ่งที่เรามักจะมองเห็นเป็นเพียงปลายของเหตุที่มาก่อนหน้านั้น  และเมื่อสาวไปถึงต้น ก็จะพบว่าเป็นปลายของเหตุที่มาก่อนหน้านั้น         อีกทีหนึ่ง จนอาจกล่าวได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีที่มาที่ไป  ปลายของเรื่องหนึ่งย่อมเป็นต้นของอีกเรื่องหนึ่ง  ไม่มีจุดเริ่มต้นและสิ้นสุด เรื่องราวเริ่มต้นที่คู่รักสมัยวัยเรียนได้มาพบปะกันอย่างไม่นึกฝัน หลังจากต่างฝ่ายต่างแยกย้ายกันไปมีชีวิตครอบครัวจนลูกโตเป็นหนุ่มเป็นสาว การหวนมาพบกันครั้งนี้เป็นจุดเริ่มให้ทุกชีวิตในครอบครัวทั้งสองมาพัวพันกันจนยุ่งเหยิง เรื่องจบลง ณ สถานที่ตอนเริ่มต้นเรื่องหลังจากที่ตัวละครทั้งคู่ได้พานพบและบอบช้ำกับปัญหาต่าง ๆ จนทำให้เติบโตทางอารมณ์ นำไปสู่ความเข้าใจชีวิต  เมื่อ “จับต้นมาชนปลาย” เรื่องราวทั้งหมดที่ผูกร้อยเข้าหากันได้ ผู้เขียนใช้เหตุบังเอิญผูกเรื่องราวได้อย่างแยบยล  แต่ละเหตุการณ์เรียงร้อยเข้าด้วยกันอย่างสมเหตุสมผล  เงื่อนปมชีวิตของตัวละครแต่ละตัวชวนให้ติดตามว่าตัวละครจะหาทางออกอย่างไร  ความสับสนวุ่นวายต้องอาศัยสติเพื่อการใคร่ครวญ  จัดการกับปัญหาบางปัญหา  ปล่อยวางกับปัญหาบางปัญหา  และท้ายที่สุด ทำความเข้าใจกับทุกข์ของผู้อื่นมากกว่าหมกมุ่นกับทุกข์ของตน  รู้เท่าทันว่าแม้ปัญหาจะคลี่คลาย แต่ก็ยังมีปัญหาใหม่ที่กำลังก่อตัวอยู่เสมอ  เราต้องพร้อมรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้นทุกจังหวะย่างก้าวของชีวิต คณะกรรมการรางวัลเซเว่นบุ๊คอวอร์ดประเภทนวนิยายจึงมีมติให้  “จับต้นมาชนปลาย” ของ ชมัยภร  แสงกระจ่าง เป็นนวนิยายที่สมควรได้รับรางวัลชนะเลิศประเภทนวนิยาย ประจำปี 2557

เรื่องเล่าจากยอดภูเขาน้ำแข็ง

เนื้อเรื่องมีประโยชน์ให้สาระความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับโรคซึมเศร้า โดยถ่ายทอดจากชีวิตของผู้เขียนได้อย่างลึกซึ้ง ผู้เขียนรับมือกับอาการป่วยได้อย่างเข้มแข็งและกล้าหาญนานกว่า 7 ปี  โดยเปิดเผยรายละเอียดของชีวิตที่ต้องอยู่กับโรคซึมเศร้าทุกแง่มุม นอกจากสะเทือนใจในเนื้อหาและกลวิธีการเขียน รวมทั้งพาผู้อ่านเข้าสู่โลกอันเยียบเย็นและเหงาเงียบที่ผู้อื่นไม่กล้าเปิดเผยแล้ว ผู้อ่านยังได้รับรู้ถึงขั้นตอนการรักษาโดยละเอียด อันเป็นการชี้ทางออกจากโลกเยียบเย็นใบนั้นอย่างชัดเจนและมีชีวิตชีวาด้วย “เรื่องเล่าจากยอดภูเขาน้ำแข็ง” ของ ดาวเดียวดาย จึงสมควรได้รับรางวัลชนะเลิศประเภทสารคดีในปีนี้

จะหลับตาลงได้อย่างไร

“จะหลับตาลงได้อย่างไร” เป็นหนังสือรวมเรื่องสั้น 11 เรื่องของเสาวรี แต่ละเรื่องมีเนื้อหาให้ตระหนักรู้ถึงธรรมชาติของมนุษย์ที่ยากแท้หยั่งถึง ทุกชีวิตไม่สามารถหลีกพ้นจากความครอบงำของกิเลสตัณหา คือความอยากมี อยากได้ และใคร่เป็น ผู้เขียนสามารถสร้างเรื่องผูกปมปัญหาไว้อย่างแนบเนียน แล้วค่อย ๆ คลี่คลายให้เห็นผลที่ตามมาในที่สุดของเรื่อง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโศกนาฏกรรมที่เกินคาด ผู้เขียนสามารถชักนำให้ผู้อ่านได้ร่วมรับรู้ถึงปัญหาต่าง ๆ ในสังคมได้อย่างน่าครุ่นคิดด้วยเนื้อหา ฉาก บรรยากาศ ตัวละครที่ต่างเพศ วัย และสถานภาพได้อย่างสมจริง โดยสื่อแนวคิดอันเป็นเอกภาพว่าถ้าคนในสังคมยังคงมีความขัดแย้งอยู่ แล้วเรา “จะหลับตาลงได้อย่างไร” ที่สำคัญเรื่องสั้นแต่ละเรื่องมีส่วนช่วยให้ผู้อ่านได้นำเรื่องราวและเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมาเป็นอุทาหรณ์ใคร่ครวญให้เข้าใจโลกและชีวิต โดยเฉพาะชีวิตของคนใกล้ชิดได้ลุ่มลึกยิ่งขึ้น เสาวรีมีชั้นเชิงในการนำเสนอได้อย่างสร้างสรรค์และน่าสนใจ ด้วยการนำเรื่องสั้น 11 เรื่องมาเสนอต่อเนื่องกันเป็นคู่ ๆ โดยแต่ละคู่เป็นเรื่องเดียวกัน เพียงแต่ผ่านการเล่าและแง่คิดมุมมองที่ต่างกันของตัวละครสำคัญ ๆ ช่วยให้ผู้อ่านเข้าถึงความหมายของเรื่องได้แจ่มแจ้ง ส่วนเรื่องสุดท้ายสรุปความหมายของ “ชีวิต ไว้ได้อย่างสมบูรณ์ เรื่องสั้นทุกเรื่องแสดงถึงความเชี่ยวชาญของผู้เขียนในการใช้ภาษาเล่าเรื่องที่ดูเป็นธรรมชาติและสร้างบทสนทนาได้สมจริง ทำให้เรื่องมีพลัง กินใจ และสะเทือนอารมณ์ ด้วยคุณภาพอันโดดเด่นทั้งในด้านเนื้อหา และกลวิธีการนำเสนอ “จะหลับตาลงได้อย่างไร” จึงเป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นที่สมควรได้รับรางวัลชนะเลิศประจำปี 2558