กรองและค้นหา

เซเว่นบุ๊คอวอร์ด ครั้งที่ 9

เซเว่นบุ๊คอวอร์ด ครั้งที่ 9

ในรูปเงา

นวนิยายเล่มบางเรื่องในรูปเงา ของ เงาจันทร์  ผูกเรื่องจากปมของความรักและความแค้นอันเป็นกิเลสสำคัญที่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตมนุษย์จากหน้ามือเป็นหลังมือ   นวนิยายเรื่องนี้ใช้โครงเรื่องตามขนบที่นิยมกันแบบหนึ่ง คือ โครงเรื่องรักสามเส้า  ซึ่งมี 2 วงเหลื่อมซ้อนกัน  วงแรกคือความรักของพร้อม พลิ้ว และเจ้าดอกรุงรัง  ซึ่งเป็นวัวที่พร้อมซื้อมาให้พลิ้วเลี้ยงตั้งแต่ยังเล็ก  แต่เขาเคยเขียนตีมันอย่างรุนแรงเพื่อระบายความเจ็บแค้นในใจ  เจ้าดอกรุงรังจึงอาฆาตแค้นพร้อมไม่รู้เลิกรา  พลิ้วจึงมีทั้งความรักและความแค้นให้เจ้าวัวเลี้ยงของตนไปพร้อม ๆ กัน  รักสามเส้าวงที่สองคือความรักของพร้อม พลิ้ว และว่าน  พลิ้วรักว่าน แต่ว่านรักพร้อม  ส่วนพร้อมก็รักลูกชายของตนจึงยอมเก็บงำความลับเร้นเอาไว้  เมื่อพลิ้วล่วงรู้โศกนาฏกรรมจึงเกิดขึ้น   เจ้าดอกรุงรังและว่านจึงพรากพร้อมและพลิ้วให้จากกันชั่วนิรันดร์กาล นวนิยายเรื่องนี้เป็นงานวรรณศิลป์ที่นำเสนอเรื่องเสน่หาอารมณ์อันเป็นธรรมชาติของสรรพสัตว์  นอกจากความรักความใคร่ของมนุษย์แล้ว  ฉากของวัวหนุ่มกับวัวสาวที่กำลังติดสัด  จริตของวัวสาวที่เย้ายวนวัวหนุ่มที่มันหมายปอง  วัวสาวใจเสรีที่เลือกวัวหนุ่มแปลกหน้ามากกว่าวัวหนุ่มในฝูง  ฉากหึงหวงของเหล่าวัวหนุ่มกลัดมันที่กลุ้มรุมทำร้ายวัวต่างถิ่นที่ได้ใจวัวสาวไปครอง  ฉากอันน่าตื่นเต้นระทึกใจเหล่านี้ล้วนเป็นภาพสะท้อนของพฤติกรรมมนุษย์อย่างแยบคาย   ดังนั้น เหล่าวัวในท้องทุ่ง  โดยเฉพาะเจ้าดอกรุงรัง  จึงไม่ใช่เป็นเพียงสัตว์เลี้ยงประกอบฉากทุ่งนา  หากแต่เป็นเงาสะท้อนกลับไปกลับมาระหว่างธรรมชาติสัตว์กับธรรมชาติมนุษย์   โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฉากจบของเรื่อง  การชำระแค้นตามสัญชาตญาณของสัตว์ที่ถูกทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส  กับการคุมแค้นของมนุษย์จนสามารถปล่อยให้ความตายเกิดขึ้นต่อหน้าต่อหน้าโดยไม่แยแส  กลมกลืนรวมเป็นเนื้อเดียวกันจนไม่มีอะไรแตกต่าง ไม่ว่าคนหรือสัตว์ล้วนมีความดิบ เถื่อน ของสัญชาตญาณมืด  ซึ่งหากขาดการควบคุมเสียแล้ว  มนุษย์ผู้ประเสริฐก็ไม่ต่างจากสัตว์เดรัจฉาน เพียงวาบเดียวของโทสะจริต ก็สามารถทำลายความรักและบุคคลที่รักได้หมดสิ้น  นวนิยายเรื่องนี้จึงเป็นโศกนาฏกรรมที่บีบหัวใจผู้อ่านไม่แพ้นวนิยายรักคลาสสิกในอดีต ความรัก ความแค้น ความสวยงาม  ความโหดร้าย  ความนุ่มนวล  ความดิบเถื่อน  ต่างสอดร้อยกันไปมาอยู่ในพฤติกรรม  ในอารมณ์ของมนุษย์และสัตว์  ในสีสันของต้นไม้ ดอกไม้ ของฝูงแมงปอริมคลองอันร่มรื่น   ในรูปเงาที่เต้นไหวอยู่บนรั้วขัดแตะ  เป็นองค์ประกอบที่จัดวางไว้ลงตัว ไม่ขาดไม่เกิน และหนุนส่งให้เรื่องราวในนวนิยายดำเนินไปอย่างมีพลังอารมณ์เข้มข้น ในรูปเงา เป็นนวนิยายที่สามารถตรึงผู้อ่านไว้กับตัวหนังสือตั้งแต่หน้าแรกไปจนหน้าสุดท้าย  ระหว่างที่อ่านจะรู้สึกว่าเส้นประสาทกล้ามเนื้อขมวดเขม็งบิดเกลียวอยู่ข้างใน  ใจเต้นระทึกตึกตัก  บางครั้งรู้สึกเหมือนลืมหายใจ จนต้องระบายลมหายใจเฮือกใหญ่ที่กลั้นไว้อย่างไม่รู้ตัวเมื่อปิดหน้าหนังสือลง

โถงสีเทา

หากเปรียบชาตกรรมเป็นสีขาว ซึ่งหมายถึงจุดเริ่มต้นอันสว่างไสวของการเกิดและมรณกรรมเป็น  สีดำ ซึ่งหมายถึง การดับวูบของแสงแห่งชีวิตไปสู่ความมืดมนอนธกาลของเขตแดนแห่งการไม่หวนคืน       สีเทาที่อยู่ระหว่างภาวะแห่งการเปลี่ยนผ่านนี้ คงได้แก่ ความเจ็บไข้จากโรคาพยาธิและการเสื่อมไปของสังขาร ภายใน “โถงสีเทา” ซึ่งเป็นฉากหลักของนวนิยายชื่อเรื่องเดียวกันนี้   ผู้เขียนคือ “เข็มพลอย” ได้นำขั้วตรงข้ามหลายขั้ว   ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นสีดำ-สีขาวมาเผชิญหน้ากัน   บางครั้งนำมาผสมผสานกันจนเป็นสีเทา   หลายครั้งได้สลายขั้วตรงกันข้ามนั้นและคลี่คลายไปสู่ความเข้าใจร่วมกัน ผู้เขียนได้หยิบยื่นพื้นที่อันเท่าเทียมกันให้แก่ตัวละครหลัก 2 กลุ่มคือแพทย์และผู้ป่วยได้เปล่งเสียงของตนออกมา  ผู้ป่วยโรคมะเร็งต้องต่อสู้ระหว่างความเป็น-ความตาย การรอดชีวิต-การพ่ายแพ้ต่อโรคร้าย รวมถึงชะตากรรมในเงื้อมมือญาติหรือคนในครอบครัวที่เลือกจะดูแลผู้ป่วยด้วยความเข้าใจหรือปล่อยไปตามยถากรรม  ส่วนแพทย์เอง-ได้เผชิญหน้ากับหลายประเด็นที่เป็นกรณีวิพากษ์อันเผ็ดร้อนในสังคม  เป็นต้นว่า จรรยาบรรณของแพทย์ การแปรเปลี่ยนอาชีพอันทรงเกียรติไปในเชิงพาณิชย์  การที่คนไข้หรือญาติคนไข้ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย หรือการร้องเรียนเนื่องจากการรักษาบกพร่อง จุดเด่นจุดด้อยของโรงพยาบาลรัฐ และโรงพยาบาลเอกชน ซึ่งครอบคลุมถึงการบริหารจัดการระบบสาธารณะสุขโดยรวม-มุมมองด้านลบต่อสถาบันการรักษาพยาบาล ได้รับการทำให้สมดุลผ่านทัศนะและภาพการทำงานของแพทย์กลุ่มหนึ่งที่ยังคงรักษาอุดมคติในการอุทิศตนให้แก่การผดุงชีวิตมนุษย์   ผู้อ่านได้เห็นภาพและเกิดความเข้าใจในการทำงานและสภาพจิตใจของคนทั้งสองฝ่ายเป็นอย่างดี ท่ามกลางการชักเย่อระหว่างความเป็นและความตายในห้องโถงสีเทาอันเคร่งเครียด  ผู้แต่งบรรเทาความหดหู่ของผู้อ่านด้วยการสอดแทรกสุนทรียะทางดนตรีเติมแต้มไปในฉากต่าง ๆ  เพื่อให้เห็นว่าในท่ามกลางความเศร้าหมองเป็นทุกข์ของผู้ป่วยไข้และเหล่าญาติ  ยังมีมิตรอารีผู้ให้กำลังใจด้วยเสียงดนตรี  และด้วยการช่วยเหลือให้คำแนะนำ   นอกจากนี้  ผู้เขียนไม่บกพร่องในการนำเสนอความเป็นนิยายที่ชวนติดตาม ผ่านความรักของหนุ่มสาวสองคู่ซึ่งมีปัญหาหนักที่ต้องตัดสินใจเพื่อหาทางออกที่ดีที่สุดสำหรับการครองชีวิตคู่    อันทำให้ โถงสีเทา เป็นนวนิยายที่มีสมดุลระหว่างการนำเสนอความจริงของชีวิตและสังคมกับความเป็นนวนิยายที่อ่านแล้วรื่นรมย์ใจ