เซเว่นบุ๊คอวอร์ด ครั้งที่ 9
นักประดาน้ำ
นำเสนอเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างวัยรุ่นเปรียบเทียบการที่กว่าจะได้พูดจารู้จักใกล้ชิดคนที่ถูกใจ มีความรู้สึกในอารมณ์เหมือนนักประดานํ้าที่กำลังดำนํ้าลึก อึดอัด มืดทึบ หายใจไม่สะดวก แต่มีความหวังเหมือนแสงจากแมงกะพรุนใต้ทะเลลึก อ่านแล้วเพลิดเพลินและชื่นชมในวิธีคิดแบบฝัน ๆ ของผู้วาด
The Nature’s Soul จิตวิญญาณแห่งธรรมชาติ
เป็นนิยายภาพที่เตือนให้ตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ยังคงเป็นปัญหาใหญ่ของโลกอยู่ ดำเนินเรื่องได้น่าตื่นเต้นชวนติดตาม ลายเส้นและสีสันดูสวยงามสดใส อ่านได้เพลิดเพลิน ให้ความรู้แง่คิดเชิงสร้างสรรค์สังคม กระตุ้นให้เยาวชนมีจิตสาธารณะ คิดดีทำดีเพื่อสังคม
Seed of Dream
เป็นหนังสือทำมือรูปเล่มกะทัดรัด ภาพการ์ตูนมีลายเส้นและสีสันที่สวยงามแบบเรียบง่าย จัดวางให้อ่านสบาย ๆ เนื้อหาให้แง่คิดเชิงปรัชญาชีวิต ทำให้ตระหนักถึงคุณค่าของตนเองและสังคม สร้างสุขและเสริมกำลังใจให้กับผู้อ่าน
เพชรแผ่นดิน
รวมบทกวี เพชรแผ่นดิน ของ นิติกรณ์ ตั้งหลัก เป็นผลงานที่พยายามสืบสานขนบฉันทลักษณ์และรูปแบบนิราศซึ่งเขียนขึ้นต่างวาระนำมารวมไว้ด้วยกัน ด้วยความหลากหลายของเนื้อหาให้เอกภาพของผลงานทั้งเล่มยังไม่เด่นชัดพอที่จะขับเน้นความโดดเด่นของเนื้อหาให้ปรากฏ ทั้งที่ผลงานบางชิ้นมีความคมคายไม่น้อย นอกจากนี้การใช้คำบางแห่งยังมีลักษณะกลอนพาไป ซึ่งหากได้พัฒนาเพิ่มเติมแนวคิดสร้างสรรค์และสำนวนโวหารจะทำให้ความแวววาวของ “เพชรแผ่นดิน” เม็ดนี้เจิดจรัสชัดเจนขึ้น
ภาพผ่านตา ภาษาผ่านใจ
รวบทกวี ภาพผ่านตา ภาษาผ่านใจ ของ กมล คูคีรีเขต ผู้เขียนสามารถเรียงร้อยฉันทลักษณ์ที่หลากหลาย ทั้งกาพย์ยานี 11 กาพย์ฉบัง 16 กลอนหก กลอนเจ็ด และกลอนแปด ให้มีสัมผัสเชื่อมร้อยกันตลอดทั้งเล่ม ช่วยขับเน้นความกลมกลืนของเนื้อหา จากบทแรก “ชีวิตใหม่” ไปจนถึงบทสุดท้าย “รู้กันด้วยใจ” ได้อย่างเหมาะงาม บทกวีหลายชิ้นมีเนื้อหาให้กำลังใจแก่ผู้อ่านได้เป็นอย่างดี
สยามสิกขานุโยค
รวมบทกวี สยามสิกขานุโยค ของสิทธิศักดิ์ บุญมา มีความโดดเด่นเป็นอย่างยิ่งในการนำเสนอเนื้อหา และวิธีคิดที่มีต่อสังคมการศึกษาของประเทศอย่างแหลมคม โดยใช้รูปแบบที่หลากหลาย เช่นการเรียงรูปแบบเนื้อหาให้มีลักษณะคล้ายเป็นข้อสอบปรนัย เป็นจดหมาย หรือการนำเนื้อหาในศิลาจารึกสมัยสุโขทัยมาเขียนยั่วล้อด้วยเนื้อหาวิพากษ์สังคมสมัยใหม่ ใช้รูปแบบการเขียนโดยไม่มีย่อหน้าลักษณะเดียวกันกับหลักศิลาจารึก ผุ้เขียนสามารถใช้ภาษาเพื่อสื่อความคิดได้อย่างมีประสิทธิภาพแม้จะมีข้อบกพร่องทางฉันทลักษณ์อยู่บ้าง แต่ยังโดดเด่นด้านเนื้อหาและรูปแบบการนำเสนอ
โรงเรียนทะเล เล่ม 2 ตอน เรื่องเล่าเขย่าขวัญพิศวงดงปะการัง
หนังสือ “โรงเรียนทะเล ตอนเรื่องเล่าเขย่าขวัญ พิศวงดงปะการัง” เล่ม 2 เป็นการ์ตูนนิยายวิทยาศาสตร์ เนื้อเรื่องเขียนโดยนักวิชาการ ได้รับการรับรองความถูกต้องทางวิชาการโดยผู้เชี่ยวชาญด้านชีววิทยาทางทะเลและสิ่งแวดล้อม ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ รองคณบดี คณะประมงมหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ เนื้อเรื่องเป็นการนำความรู้ทางทะเลที่ถูกต้องมาเสนอในรูปแบบการ์ตูนที่ง่ายต่อการเรียนรู้ มีการสร้างสรรค์เนื้อหาและออกแบบตัวการ์ตูนที่สวยงามหลายตัวที่สัมพันธ์กับเนื้อหาอย่างโดดเด่น สีสันสวยงาม เนื้อเรื่องเป็นเรื่องราวของสัตว์จำพวกหมึกและหอยที่อาศัยอยู่ในแนวปะการัง ซึ่งเป็นสัตว์ที่มีความสวยงาม ที่แฝงไว้ด้วยพิษร้าย บางพวกมีพิษเพียงเพื่อป้องกันตัว และบางพวกก็มีพิษเพื่อเป็นนักล่าที่น่าสะพรึงกลัว อ่านแล้วให้ความรู้ มีประโยชน์และสนุกสนาน เหมาะสมกับเยาวชนทั่วไป คณะกรรมการเห็นว่าการที่มีผู้เชี่ยวชาญหรือนักวิชาการมาสร้างสรรค์ผลงานการ์ตูนสำหรับเยาวชนเป็นสิ่งที่น่าสนับสนุน เพราะเยาวชนจะได้อ่านการ์ตูนที่มีเนื้อหาที่ถูกต้องและมีประโยชน์
Walking melody II
หนังสือการ์ตูน “WALKING MELODY II” เล่มนี้เป็นผลงานที่สร้างขึ้นด้วยแรงบันดาลใจจากเพลง KARMA ของนักร้องนาม “แสตมป์” (อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข) กลายมาเป็นนิยายภาพ 7 เรื่อง โดย นักเขียน 7 คน ที่เป็นมืออาชีพรุ่นใหม่ระดับแนวหน้าที่สุดในขณะนี้ ใช้รูปแบบการสร้างงานเป็น Teamwork มีความเป็นสมัยใหม่อย่างชัดเจน แต่ละคนจะมีแนวทางการเขียนการวาดภาพโดดเด่นในตนเอง การนำเสนอด้วยรูปแบบที่หลากหลาย แต่สามารถมุ่งสู่เป้าหมายเดียวกันได้อย่างเป็นเอกภาพ และสามารถสื่ออารมณ์ความรู้สึก ความเคลื่อนไหวของตัวละครได้อย่างดี เนื้อเรื่องเกี่ยวกับความรักของหนุ่มสาว แสดงถึงวังวนแห่งความรักที่ประกอบด้วยกิเลสที่ไม่สามารถหลุดพ้น หากไม่สูญเสียก็ไม่รู้สึก การหนีปัญหา การหาทางออกของวังวนความรักของตัวละครจะไม่ใช้ความรุนแรง เหตุการณ์ของเรื่องดำเนินไปตามกรรมซึ่งอาจไม่ใช่ความรัก อาจเป็นมวลประสบการณ์ของชีวิต ในเรื่องมีองค์ประกอบของความรักหลายแบบ ทั้งรักแบบอารมณ์ รักแบบมีเหตุผล เหตุการณ์ของเรื่องเหมือนชีวิตจริงของหนุ่มสาวปัจจุบัน ผู้อ่านจะได้เห็นมุมมองและการแก้ปัญหาในเรื่องความรัก
ณ กาลครั้งหนึ่งซึ่งมีรัก
เรื่อง “ณ กาลครั้งหนึ่งซึ่งมีรัก” เป็นหนังสือรวมนิยายภาพสั้น ๆ 6 เรื่องไว้ในเล่มเดียวกัน แต่ละเรื่องมีวิธีการนำเสนอเนื้อหาและภาพได้ดีมาก มีความทันสมัยทั้งด้านเทคนิคการวาดและจัดองค์ประกอบภาพ อีกทั้งการใช้สีในภาพวาดก็ช่วยเสริมบรรยากาศ สร้างอารมณ์ให้คล้อยตามไปกับเนื้อหาที่ดำเนินไป และผู้เขียนสามารถวาดภาพแสดงความรู้สึกของใบหน้าตัวละครบ่งบอกอารมณ์ได้ดี ทำให้ส่งเสริมเรื่องให้ดูสมจริงขึ้น ทั้งภาพและสีของทุกเรื่องมีความกลมกลืนกันทั้งเล่ม “ณ กาลครั้งหนึ่งซึ่งมีรัก” เป็นผลงานการ์ตูนที่ถ่ายทอดเรื่องราวความรักของมนุษย์ ในหลากแง่มุม หลายอารมณ์ ผ่านมุมมองของนาฬิกาทราย เสนอเรื่องราวของความรักความผูกพันระหว่าง พ่อ แม่ ลูก ความรักที่มีความอบอุ่น ห่วงใย ความเข้าใจ ห่วงหาอาทร และความสูญเสีย แสดงให้เห็นช่วงชีวิต ภาระหน้าที่การงาน การดำเนินชีวิต เนื้อเรื่องลึกซึ้งกินใจ สามารถดึงความรู้สึกพื้นฐานในตัวตนของมนุษย์ออกมาให้ผู้อ่านมองเห็นได้ชัดเจน สามารถชี้ให้เห็นความเป็นจริงของชีวิต ให้แง่คิดที่ดี ให้ความรู้สึกสะเทือนอารมณ์ อ่านแล้วทำให้ตระหนักถึงคุณค่าของความรักและเสริมคุณค่าทางใจ
อุ้มลูกโอบโลก
อุ้มลูกโอบโลก ของ กอนกูย รวมบทกวีฉันทลักษณ์ที่มีเนื้อหาหลากหลายชวนอ่าน แบ่งเป็น 4 ภาค คือ หม่นเมืองสมัยไกลสมาน, คุ้งหนาวร้าวนานกาลครั้งหนึ่ง, กรุ่นดินกลิ่นฟางยังตราตรึง, โลกรำพึงฝากฝันนิรันดร เนื้อหาว่าด้วยสรรพชีวิต ความรัก ความหวัง ความฝัน การเมือง ธรรมชาติ ชีวิตชนบท วิถีคนเมือง และสิ่งรอบตัว ฯลฯ ซึ่งทุกอย่างล้วนเจตนาดีต่อโลก อยากเห็นความสงบร่มเย็นเกิดขึ้นบนโลกใบนี้
โลกแห่งรัก
โลกแห่งความรัก ของ กานติ ณ ศรัทธา เป็นกวีนิพนธ์ฉันทลักษณ์แนวขนบ แม้เนื้อหาจะว่าด้วยความรัก แต่ผู้ประพันธ์กล่าวถึงความรักหลายรูปแบบ ด้วยจังหวะลีลากลอนที่พลิ้วไหว จึงไม่ทำให้รู้สึกว่าน่าเบื่อ หลายชิ้นงานยังโยงไปถึงความรักเพื่อนมนุษย์ รักธรรมชาติ รักโลก ในขณะที่บางชิ้นก็แฝงด้วยสัจธรรม และปรัชญาชีวิตอย่างมีชั้นเชิง ผู้อ่านสามารถซึมซับได้โดยไม่รู้สึกว่าถูกยัดเยียดซึ่งถือเป็นเสน่ห์ของหนังสือเล่มนี้
หลงรูปจูบนาม
หลงรูปจูบนาม ของ พรชัย แสนยะมูล ‘กุดจี่’ เป็นบทกวีสั้น ๆ ที่เล่นกับ ฉันทลักษณ์ และสนุกกับการเล่นคำอย่างมีอารมณ์ขัน นำเสนอเนื้อหาทันยุคทันสมัยด้วยมุมมองและภาษาแปลกใหม่ตามกระแสนวัตกรรมการสื่อสาร โดยหยิบยกเรื่องราวใกล้ตัวซึ่งส่วนใหญ่ปรากฏในสังคมออนไลน์มาเป็นแกนหลัก เพื่อสะท้อนปัญหาสังคม การเมือง ปัญหาวัยรุ่น ปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยนำเสนอแบบเสียดสียั่วล้อและใช้สัญลักษณ์ ทำให้ผู้อ่านคิดตามได้ไม่ยาก
ดอกไม้ดอกสุดท้าย
ดอกไม้ดอกสุดท้าย ของ ศักดิ์สิริ มีสมสืบ รวมบทกวีจำนวน 100 บทเรื่อง ที่เคยตีพิมพ์เป็นประจำในหนังสือพิมพ์ข่าวสด ตั้งแต่ พ.ศ. 2547-2551 เนื้อหาของบทกวีจึงสัมพันธ์กับเหตุการณ์สำคัญในช่วงเวลาดังกล่าว ทั้งเหตุการณ์ทางการเมือง สังคม วัฒนธรรม บุคคลและเรื่องราวที่เป็นข่าวในแต่ละสัปดาห์ เปรียบเป็นบันทึกทางสังคมที่ผสมผสานกับทัศนคติและมุมมองของกวีที่เฉียบคม เรื่องราวที่รุนแรงและหนักอึ้งจึงน่าอ่านด้วยลีลาการนำเสนอและความคมคายอย่างมีอารมณ์ขัน ผู้ประพันธ์แหวกขนบการเขียนกวีนิพนธ์ที่มักละเว้นการกล่าวถึงสิ่งสกปรกโดยนำเสนอเรื่องเหล่านั้นด้วยการเปรียบเทียบกับพฤติกรรมความเป็นไปของมนุษย์ ทัศนะวิพากษ์วิจารณ์ที่แหลมคมแฝงน้ำเสียงเสียดสีและยั่วล้ออย่างมีสีสัน
หัวใจห้องที่ห้า
หัวใจห้องที่ห้าของ อังคาร จันทาทิพย์ รวมบทกวี 46 บทเรื่อง แบ่งเป็น 2 ภาค คือ ภาคแรก หัวใจห้องที่ห้า และภาคหลัง นิทานเดินทาง ในภาคแรก หัวใจห้องที่ห้าที่หมายถึง “ดวงใจใฝ่ฝันสันติสุข” ผู้ประพันธ์นำเสนอเรื่องราวของสังคมไทยในมิติต่าง ๆ เริ่มจากอดีตจนเกิดความเปลี่ยนแปลงในยุคปัจจุบันซึ่งดูจะเป็นวิวัฒนาการที่โลกและมนุษย์อาจไม่ได้ดีกว่าเดิมเพราะสังคมยังเต็มไปด้วยปัญหา ความขัดแย้งและความรุนแรงในรูปแบบต่าง ๆ และที่สำคัญคือคลื่นความขัดแย้งในสังคมที่ทำให้เกิดความแบ่งแยกแตกต่างของผู้คน ในภาคหลัง นิทานเดินทาง ผู้ประพันธ์นำเสนอเรื่องเล่าและวิถีชีวิตของกลุ่มชนในบริบทต่าง ๆ ของสังคมไทย ทั้งตำนานแม่น้ำโขงในภาคอีสาน คนไร้บ้านในเมืองหลวง ชนกลุ่มน้อย เช่น มอญ กะเหรียงคอยาวและคนไร้สัญชาติโดยเชื่อมโยงเรื่องเล่าในอดีตกับวิถีชีวิตในปัจจุบันซึ่งล้วนระทมทุกข์และต้องต่อสู้ดิ้นรนในสังคมทุนนิยมและบริโภคนิยม นิทานเดินทางของผู้คนหลากหลายคือนิทานชีวิตที่ยังคงต้องดำเนินต่อไปจนกว่าจะสิ้นสุดชีวิต ด้านกลวิธีการประพันธ์ ใช้กลอนสุภาพเป็นส่วนใหญ่ นอกจากนี้มีโคลงสี่สุภาพและกาพย์ฉบัง นำเสนอแนวคิดปัญหาสังคมในเชิงวิพากษ์วิจารณ์เพื่อให้ผู้อ่านฉุกคิด โดยใช้เรื่องเล่าในอดีตเชื่อมโยงกับปัญหาสังคมในปัจจุบันได้อย่างมีนัยสำคัญ
บ้านในหมอก
บ้านในหมอก ของ สุขุมพจน์ คำสุขุม เป็นรวมบทกวี 39 บทเรื่อง แบ่งเป็น 2 ภาค คือ ภาคแรก บ้านในหมอก นำเสนอความเปลี่ยนแปลงของแผ่นดินถิ่นเกิดที่มีประวัติความเป็นมายาวนานตั้งแต่อดีต เปรียบเสมือนกองเกวียนโบราณที่บรรพบุรุษได้ลงหลักปักฐานในผืนแผ่นดิน วิถีชีวิตชนบทในสมัยที่ดินยังดำ น้ำยังชุ่ม โลกสมัยใหม่ในยุคโลกาภิวัตน์ เป็นยุคของเทคโนโลยี ทุนนิยมและบริโภคนิยมทำให้วิถีชีวิตคนชนบทเปลี่ยนแปลงด้วยเมฆหมอกของความศิวิไลซ์อันเป็นมายาคติทำให้ชาวชนบทอพยพมาศึกษาเล่าเรียนบ้าง ทำงานบ้าง ด้วยสำคัญผิดว่าคือความสุขแบบใหม่ จากกองเกวียนโบราณจึงกลายเป็นกองเกวียนจักรกลยนตรกรรม แท้จริงชีวิตในเมืองซึ่งเต็มไปด้วยตึกระฟ้าไม่ได้นำมาซึ่งความสุขและคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า ผู้ประพันธ์นำเสนอรูปธรรมของชีวิตชาวอีสานไม่ว่าจะเป็นเด็กสาวหรือคนขับแท็กซี่ที่มีวิถีชีวิตยากลำบากและจบชีวิตลงเพราะความพลาดหวัง ความยากแค้นและอาชญกรรมโดยเฉพาะอย่างยิ่งอาชญากรรมทางเพศ ในภาคหลัง หมอกในบ้าน ผู้ประพันธ์นำเสนอปัญหาในสังคมไทยที่เปรียบเสมือนเมฆหมอกทั้งในระดับครอบครัวและระดับสังคม ในระดับครอบครัวความห่างเหินเพราะห่างไกลกันของคนในครอบครัว ชาวชนบทต้องเข้ามาทำงานในเมือง การพูดคุยไถ่ถามทางโทรศัพท์ดูเหมือนจะเป็นวิธีการเดียวในการแสดงความรักและความห่วงใยระหว่างกันในระดับสังคม ความรุนแรงทางภาคใต้ที่คร่าชีวิตหนุ่มชนบทหนุ่มอีสานบางคนต้องไปเป็นทหารที่ภาคใต้และต้องจบชีวิตลง กลับบ้านด้วยร่างที่ไร้วิญญาณหมอกควันในสังคมอีกประการหนึ่งคือ ความขัดแย้งของผู้คนในสังคมที่แบ่งแยกแตกต่างทางความคิดกลายเป็น “บาดแผลของชาติ” ที่ผู้ประพันธ์ เรียกร้องให้ละทิ้งเงื่อนไขดังกล่าวเพื่อความสงบสุขในสังคม ด้านศิลปะการประพันธ์ ผู้ประพันธ์ใช้กลอนสุภาพเป็นส่วนใหญ่ มีกลวิธีการนำเสนอที่น่าสนใจด้วยการนำเสนอเนื้อหาเป็น 2 ภาค มีการนำเสนอเรื่องราวและปัญหารวมทั้งเสนอทัศนะและการแก้ปัญหารวมทั้งเสนอทัศนะด้วยการใช้หมอกเป็นภาพพจน์เปรียบเทียบซึ่งมีความหมายหลายนัย ด้านการเล่าเรื่องใช้การเล่าเรื่องแบบเรื่องสั้น ยกรูปธรรมของชีวิตปัจเจกบุคคลแทนการเสนอแนวคิดอย่างตรงไปตรงมา รวมทั้งใช้ภาษาพูดและบทสนทนาดำเนินเรื่องทำให้สามารถนำเสนอเรื่องราวที่ดูจะหนักด้วยสาระและแนวคิดได้น่าอ่าน ชวนคิดและชวนติดตาม
โลกใบเล็กของหนูติ๊ด
เรื่องราวของ “หนูติ๊ด” เด็กหญิงวัยก่อนวัยเรียน ที่คิดว่าไม่มีใครต้องการ เพราะไม่มีแม่ พ่อก็ไม่มีงานที่มั่นคง ต้องออกจากบ้านและฝากหนูติ๊ดไว้กับคนอื่นบ่อย ๆ เมื่อพ่อพาหนูติ๊ดมาฝากไว้กับ “ป้าต้อย” พี่สาวแท้ ๆ เป็นเวลาค่อนข้างนาน ชีวิตของหนูติ๊ด ป้าต้อย และผู้คนที่อาศัยอยู่ในอะพาร์ตเมนต์ของป้าต้อยก็เปลี่ยนไปในทางที่ดี เก็น กวี เขียนวรรณกรรมเยาวชนที่มีสไตล์น่ารัก สดใส ไร้เดียงสาแบบเด็ก ๆ ได้อย่างน่าติดตาม เรื่องราวค่อย ๆ เผยปมชีวิตของแต่ละคนในอะพาร์ตเมนต์เล็ก ๆ ที่มีเจ้าของเป็นหญิงสูงวัยซึ่งเคยคิดว่าไม่ต้องการใครในชีวิต และผู้อยู่อาศัยซึ่งมีปัญหาต่างๆ กับครอบครัว เช่น คุณพ่อนักเขียนซึ่งสูญเสียลูกชายและยังโทษว่าเป็นความผิดของตนเอง คุณยายซึ่งรู้สึกเหมือนอยู่คนเดียวในโลกเพราะลูกสาวไม่มาดูแลนานหลายปี หญิงสาวซึ่งอกหักและไม่ชอบหน้าชายหนุ่มที่อาศัยอยู่ในอะพาร์ตเมนต์เดียวกัน และเทวดาซึ่งหนูติ๊ดพบว่าเป็นผู้อาศัยด้วยเช่นกัน การกระทำและคำพูดซึ่งแสดงออกถึงความห่วงใยและใส่ใจทุกข์สุขที่หนูติ๊ดมีต่อคนรอบข้าง ทำให้ทุกคนรู้สึกว่าหนูติ๊ดเป็นนางฟ้าน้อย ๆ ซึ่งมาเปลี่ยนอะพาร์ตเมนต์ที่เคยแห้งแล้งกลับมีชีวิตชีวาขึ้น และเปลี่ยนพฤติกรรมของทุกคนที่นั่นให้มีความสุขได้อย่างน่าอัศจรรย์
ตามหาสรวงสวรรค์
เริ่มเรื่องขึ้นกลางนครใหญ่ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวไกล มนุษย์ใช้เครื่องจักรกลต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกสบาย แม้กระทั่งสามารถซื้ออวัยวะจักรกลเพื่อให้มีชีวิตยืนยาวขึ้น ในนครแห่งนี้มีตำนานเล่าขานถึงเรื่องเมืองสวรรค์ ที่มนุษย์สามารถมีชีวิตชั่วนิรันดร์ แต่ก็ยังไม่มีใครสามารถพิสูจน์ได้ว่ามีจริง คาวีและมินตรา แฝดสองพี่น้อง กำลังประสบปัญหาด้วยไม่มีกำลังทรัพย์จะจัดหาหัวใจจักรกลมาเปลี่ยนให้แม่ ประกอบกับทั้งสองได้พบเห็นและรับรู้เรื่องราวบางอย่างโดยบังเอิญ ที่ทำให้เชื่อได้ว่าเมืองสวรรค์น่าจะมีจริง จึงเป็นแรงบันดาลใจให้ทั้งคู่ออกเดินทางตามหาเมืองดังกล่าว เพื่อนำหัวใจอมตะมาช่วยชีวิตแม่ เรื่องดำเนินไปอย่างน่าติดตาม ผู้อ่านจะค่อย ๆ รับรู้เรื่องลี้ลับของดินแดนแห่งนั้น จากฉาก เหตุการณ์ และตัวละครที่ปรากฏเด่นชัดขึ้น ในระหว่างการเดินทางสองพี่น้องต้องเผชิญอุปสรรคมากมาย แต่ก็ผ่านมาได้ด้วยความรัก ความเสียสละซึ่งกันและกัน จนสามารถเดินทางสู่เป้าหมายได้ในที่สุด อย่างไรก็ตามทั้งสองกลับต้องพบกับเงื่อนไขหลายประการที่ต้องเลือก สุดท้ายทั้งสองตัดสินใจเลือกกลับไปใช้ชีวิตร่วมกับแม่อย่างมีความสุข ก่อนที่แม่จะจากไปตามอายุขัย เป็นช่วงเวลาที่มีคุณค่า ด้วยแม่บอกว่าหัวใจของแม่อยู่ในตัวลูกทั้งสองนั่นเอง ในตอนสุดท้ายผู้เขียนได้ฝากแง่คิดผ่านตัวละครไว้อย่างงดงามว่าความเป็นอมตะอาจจะไม่ใช่การอยู่ไปชั่วนิรันดร์ แต่หมายถึงการส่งผ่านความรัก และความดีงามแก่ลูกหลานของเรา ครอบครัวของเรารวมถึงคนรุ่นต่อไป
จากวันจันทร์ของชีวิต… วันศุกร์ต้องมาถึง
จากวันจันทร์ของชีวิต…วันศุกร์ต้องมาถึง เป็นบันเทิงคดีแนวสมจริงที่สะท้อนสังคมและชีวิตของวัยรุ่นที่ประสบปัญหาความไม่เข้าใจและความรุนแรงในครอบครัว จนเก็บกดและผลักดันให้ขาดสติก่อให้เกิดอุบัติเหตุมีผู้เสียชีวิต จนต้องรับโทษในสถานกักกัน เป็นประดุจสินค้ามีตำหนิ แต่ความเป็นคนดี กำลังใจและการช่วยเหลือจากผู้ใหญ่ที่เข้าใจและหวังดี ก็ช่วยให้เขากลับมาเดินบนเส้นทางชีวิตปกติได้ในที่สุด ผู้แต่งนำเสนอเรื่องราวสะเทือนอารมณ์ผ่านประสบการณ์ชีวิตของ ‘ฝาย รั้วรัก’ เด็กหนุ่มในครอบครัวฐานะปานกลางผู้มีจิตใจดี รักธรรมชาติ บทกวีและดนตรี แต่การมีครอบครัวที่ไม่อบอุ่น บิดาใช้ความรุนแรงตัดสินปัญหาต่าง ๆ โดยเฉพาะการไม่ยอมรับความสนใจของลูกชายที่ต่างไปจากความมุ่งหวังของตนเอง สร้างความผิดหวัง เสียใจแก่ฝายอย่างมากและกลายเป็นความเก็บกด และถึงที่สุดเมื่อถูกพ่อด่าว่า ส่องไฟฉายใส่หน้าและเผาทำลายสมุดจดบทเพลงที่เขาแต่งด้วยความรักและความตั้งใจ ทำให้ฝายขาดสติเมื่อเผชิญกับเหตุการณ์ที่มีรถส่องไฟใส่ขณะที่เขาขี่จักรยานหนีความรุนแรงของพ่อไปบ้านยาย จึงระบายอารมณ์โกรธด้วยการขว้างก้อนหินจนเกิดอุบัติเหตุร้ายแรง มีผู้เสียชีวิตและเป็นโศกนาฏกรรมในชีวิตของตนเอง ทำให้ต้องเข้าไปอยู่ในสถานกักกัน ‘บ้านรั้วรัก’ เป็นเวลานานกว่าสามปี ด้วยพื้นฐานที่เป็นคนดีฝายสำนึกผิดและยอมรับโทษด้วยความอดทน ในขณะเดียวกันก็ศึกษาต่อทางไกล ประพฤติตนดี ยึดมั่นในความถูกต้องและช่วยเหลือผู้อื่นเสมอ ในช่วงเวลาแห่งความทุกข์นั้นฝายอยู่อย่างมีความหวัง โดยสร้างนาฬิกาแห่งความหวังและการรอคอยด้วยการเก็บใบไม้แทนแต่ละวันสะสมไว้ใต้หมอน ฝายรักและรอคอยวันศุกร์โดยเฉพาะวันศุกร์สิ้นเดือนซึ่งเขาจะได้พบแม่ผู้เป็นที่รักยิ่ง ชีวิตของฝายในช่วงที่อยู่บ้านรั้วรักจึงเปรียบเสมือนวันจันทร์ของชีวิต…ไม่ว่าจะยาวแค่ไหนวันศุกร์ต้องมาถึงจนได้ อันเป็นที่มาของชื่อเรื่อง แล้วในที่สุดด้วยผลแห่งการประพฤติดีเขาก็ได้รับอิสรภาพก่อนกำหนดหลายเดือนเมื่อฝายก็ได้กลับไปมีชีวิตปกติ เขาเป็นนักร้องอาชีพ ดูแลแม่ซึ่งแยกทางกับพ่อแล้วอย่างดี บวชทดแทนคุณพ่อแม่ อุปถัมภ์น้องบุญธรรมซึ่งเป็นลูกสาวของผู้เสียชีวิตในอุบัติเหตุที่ฝายเป็นต้นเหตุ และบำเพ็ญประโยชน์แก่สังคมตามโอกาส
บันไดกระจก
“บันไดกระจก” เป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นจำนวน 10 เรื่อง ของวัฒน์ ยวงแก้ว ที่มีความน่าสนใจทั้งในด้านศิลปะการเขียนและแง่คิดมุมมอง วัฒน์ ยวงแก้วเป็นนักเขียนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถทั้งในการใช้ภาษาและกลวิธีการนำเสนอ ซึ่งมีรูปแบบทั้งเรียบง่ายและซับซ้อน มีเนื้อหาสื่อแสดงและซ่อนเร้นนัยทางสังคมอย่างคมคาย จะเห็นได้ว่างานเขียนในหนังสือบันไดกระจกแสดงถึงความสนใจของผู้แต่งที่มีต่อปัญหารอบตัวและผู้คนทั่วไป ไม่เว้นแม้แต่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ผ่านลีลาและวิธีคิดวิธีเขียนของคนยุคปัจจุบัน เสน่ห์ของหนังสือ“บันไดกระจก” อยู่ที่ความแปลกแยกแตกต่างของเรื่องสั้นแต่ละเรื่อง ซึ่งผู้อ่านสามารถตีความได้โดยอิสระและถามตัวเองว่าผู้แต่งได้บอกเล่าหรือให้คำตอบอะไรใหม่ ๆ บ้าง หนังสือรวมเรื่องสั้นบันไดกระจกจึงสมควรได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 รางวัลเซเว่นบุ๊คอวอร์ดประจำปี พ.ศ. 2555
ภาพยนตร์ที่ถ่ายทำตลอดชีวิต
ภาพยนตร์ที่ถ่ายทำตลอดชีวิต เป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นขนาดยาว 8 เรื่อง ซึ่งสะท้อนภาพสังคมไทยในยุคสมัยที่เต็มไปด้วยความยอกย้อนสับสนได้อย่างเด่นชัดและน่าสนใจ ในเรื่องสั้นแต่ละเรื่อง ดูเสมือนว่าเส้นแบ่งระหว่างความดีกับความเลว ความถูกและความผิด ภาพจริงและภาพมายา ล้วนถูกผู้เขียนลบเลือน ทำให้ผู้อ่านต้องเพ่งพินิจและตีความที่แฝงอยู่ระหว่างบรรทัด ผู้เขียนใช้กลวิธีเล่าเรื่องที่หลากหลายมีชั้นเชิง เช่น การผูกร้อยเรื่องราวผ่านบทสนทนาและพฤติกรรมที่ดูไร้สาระของตัวละคร การนำเรื่องแต่งของตัวละครมาสอดสลับกับเรื่องเล่าของผู้เขียน การใช้ภาพเหนือจริงซ้อนทับลงบนภาพจริง ฯลฯ แต่ในขณะเดียวกันก็ยังสร้างความรู้สึกสมจริงและอารมณ์สะเทือนใจให้แก่ผู้อ่านด้วย หนังสือรวมเรื่องสั้น ภาพยนตร์ที่ถ่ายทำตลอดชีวิต จึงสมควรได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 รางวัลเซเว่นบุ๊คอวอร์ด ประเภทรวมเรื่องสั้น ประจำปี พ.ศ. 2555
เวลาของชาติ
“เวลาของชาติ” เป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นจำนวน 8 เรื่องของกิติวัฒน์ ตันทะนันท์ ที่มีความโดดเด่นทั้งในด้านเนื้อหาและวรรณศิลป์ ผู้แต่งนำเสนอเหตุการณ์และเรื่องราวอันหลากหลายของผู้คนในสังคม โดยเน้นย้ำถึงเบื้องลึกของความคิด อารมณ์ และความรู้สึก ซับซ้อนลุ่มลึกภายในตัวตนของมนุษย์ต่างสถานะ ต่างเพศ และต่างวัย บางเรื่องกล่าวถึงความรู้สึกโหยหาอดีตอันเปี่ยมสุข ได้แก่เรื่อง “เวลาของชาติ” บางเรื่องกล่าวถึงอารมณ์เหงาเศร้าร้าวรานของคนชราที่ปรารถนาจะได้รับไออุ่นจากลูกหลาน ได้แก่เรื่อง “บ้านสัตว์เลี้ยง” บางเรื่องกล่าวถึงมิติแห่งความรักและความสัมพันธ์ของหนุ่มสาวในปัจจุบันสมัย ได้แก่ เรื่อง “วีณา” ฯลฯ ผู้แต่งมีความสามารถในการใช้ภาษาที่มีพลัง กินใจ และประทับใจ เลือกใช้ลีลาโวหารในแต่ละเรื่องได้อย่างสอดคล้องกับเนื้อหา เป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นร่วมสมัยที่ควรค่าแก่การอ่านอย่างยิ่งเล่มหนึ่ง หนังสือรวมเรื่องสั้น “เวลาของชาติ” จึงสมควรได้รับรางวัลชนะเลิศรางวัล เซเว่นบุ๊คอวอร์ด ประเภทรวมเรื่องสั้น ประจำปี พ.ศ. 2555
500 ปี ความสัมพันธ์ สยาม-โปรตุเกส
การเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเล ไปศึกษาและค้นคว้าเอกสารข้อมูลจากแหล่งปฐมภูมิในทวีปยุโรป แล้วนำมาเรียบเรียงเป็นสารคดีเชิงประวัติศาสตร์ ด้วยภาษาสำนวนชวนอ่าน ชวนติดตาม เป็นจุดเด่นที่ทำให้หนังสือเล่มนี้ จุดประกายความคิดให้คนไทย ตระหนักถึงความหมายแห่งสายสัมพันธ์ สยาม- โปรตุเกส ที่มีมายาวนานถึงกึ่งสหัสวรรษ หลายสิ่งหลายอย่างที่โปรตุเกสนำเข้ามาในวันนั้น กลายเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของพหุสังคมไทย อย่างไม่อาจปฏิเสธได้
100 เรื่องเมืองใต้
รวมบทความอันเป็นสาระความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมท้องถิ่นใต้ จำนวน 100 เรื่อง ครอบคลุมเรื่องราวรอบด้าน ทั้งวรรณกรรม ภาษา ศาสนา ค่านิยม ความเชื่อ ตลอดไปจนถึงศิลปะการแสดง ดนตรี กีฬา ฯลฯ ซึ่งผ่านกระบวนการศึกษา ค้นคว้าและวิจัยทางวิชาการ มานำเสนอด้วยภาษาสำนวนที่กระชับ เรียบง่าย แต่แฝงด้วยชั้นเชิงทางวรรณศิลป์ ทำให้ผู้อ่านได้รับความรู้ทางสังคมวิทยา มนุษยวิทยา คติชนวิทยา และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ได้รู้จักภาคใต้อย่างถ่องแท้
ไทบ้านดูดาว
หนังสือว่าด้วยภูมิปัญญาและองค์ความรู้เกี่ยวกับดวงดาว ของชาวบ้านไทยหลายภูมิภาคอันมีประโยชน์ในการดำเนินชีวิตสมัยนั้น เป็นการยืนยันว่าความรู้และสติปัญญาของคนไทยมีพัฒนาการมาช้านานแล้ว ผู้เขียนนำเสนอข้อมูลยาก ๆ ให้เข้าใจง่าย ด้วยชั้นเชิงทางวรรณศิลป์ ผนวกกับข้อมูลที่น่าเชื่อถือ ทำให้หนังสือเล่มนี้ชวนอ่าน ชวนติดตาม จุดประกายความคิด และพัฒนาสำนึกเชิงสร้างสรรค์ชีวิตและสังคม
ตามรอยเจ้าอนุวงศ์ คลี่ปม ประวัติศาสตร์ ไทย-ลาว
สารคดีเชิงประวัติศาสตร์ที่เสนอแนวคิดใหม่ ด้วยวิธีการศึกษาค้นคว้าใหม่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้มีการประเมินสถานะของบุคคลในประวัติศาสตร์ไทย-ลาว คือ เจ้าอนุวงศ์แห่งกรุงเวียงจันทน์ ด้วยมุมมองใหม่ที่แตกต่างจากกรอบความคิดทางประวัติศาสตร์ชาตินิยมแบบเดิม ๆ จึงมีบทบาทสำคัญยิ่ง ในการจุดประกายความคิด ให้คนไทยรู้จักตนเอง รู้จักเพื่อนบ้าน หรืออย่างน้อยที่สุดคือรู้จักเอาใจเขา มาใส่ใจเรา อันเป็นคุณสมบัติพื้นฐานของความสัมพันธ์ฉันเพื่อนมนุษย์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือความสัมพันธ์ฉันเพื่อนบ้านที่สนิทชิดเชื้อดั่งญาติมิตรเฉกเช่นลาว
ชาร์ลส์ ดาร์วิน กำเนิดแห่งชีวิต และทฤษฎี วิวัฒนาการ
ประวัติชีวิตนักวิทยาศาสตร์คนสำคัญของโลก ที่มีคำกล่าวว่า การศึกษาเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิต จะไม่มีความก้าวหน้าดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบันเลย หากเมื่อราว 200 ปีก่อน ไม่มีบุรุษผู้นี้ถือกำเนิดขึ้นมา เรื่องราวในชีวิตของเขา มีความน่าสนใจไม่ด้อยไปกว่า “ทฤษฎีวิวัฒนาการ” ที่เขาค้นพบเลย การค้นคว้าข้อมูลอย่างละเอียด รอบด้าน มานำเสนอด้วยข้อเขียนที่อ่านเข้าใจง่าย ชวนติดตาม ทำให้ชีวประวัติชาร์ลส์ ดาร์วิน อุดมด้วยเกร็ดความรู้ทางชีววิทยา ซึ่งนอกจากจะอ่านเพลินแล้ว ยังจุดประกายความใฝ่รู้ทางวิทยาศาสตร์ให้คนรุ่นใหม่ได้เป็นอย่างดี
อิสรภาพบนเส้นบรรทัด ๑๓ นักโทษประหาร
หนังสือรวมข้อเขียนของ 13นักโทษประหาร ผู้ต้องขังเรือนจำกลางบางขวาง ที่ผ่านการอบรมเชิงปฏิบัติการด้านการเขียน ตามโครงการ “เรื่องเล่าจากแดนประหาร” สะท้อนชีวิตที่ดำเนินไปอย่างไร้อิสรภาพในกรอบกรงขัง และโซ่ตรวนที่ติดตรึงอยู่ตลอดเวลา ทว่า ก็มิอาจกักขังความคิดและจินตนาการของพวกเขาได้ การได้เขียนหนังสือ จึงถือเป็นอิสรภาพบนเส้นบรรทัดของพวกเขาโดยแท้ สาระสำคัญของหนังสือ ที่สื่อสารผ่านข้อเขียนอันมีชั้นเชิงทางวรรณศิลป์ มีบทบาทจุดประกายความคิดให้ผู้อ่านตระหนักถึงผลร้ายของการกระทำความผิด ความไม่เกรงกลัวต่อบาป อันส่งผลให้ต้องไร้สิ้นซึ่งอิสรภาพ กระทั่งดูเหมือนจะไร้สิ้นซึ่งสถานะความเป็นมนุษย์ ทว่าเรื่องเล่าเกี่ยวกับการช่วยเหลือเอื้ออาทรกันระหว่างนักโทษประหาร ก็สะท้อนความจริงในมุมกลับ ว่าในความเป็นจริง พวกเขายังมีความเป็นมนุษย์ ที่มีความรู้สึกนึกคิด มีจินตนาการ มีความใฝ่ฝัน..อยู่เต็มเปี่ยม
เรื่องเล่าจากร่างกาย
เป็นหนังสือวิทยาศาสตร์ที่อ่านง่าย โดยเล่าเรื่องการทำงานของร่างกายและสมองของมนุษย์ผ่านวิวัฒนาการ อันจะช่วยให้เราเดินผ่านปัจจุบัน สู่อนาคตได้อย่างเหมาะสม เป็นเรื่องที่มนุษย์ทุกคนควรรู้ ส่งเสริมให้เกิดความมั่นคงทางจิตใจ ไม่อ่อนไหวง่าย ผู้เขียนมีกระบวนการหาข้อมูลมารวบรวมได้อย่างน่าทึ่ง มีกลวิธีการเขียนที่เรียบง่ายชัดเจน และเลือกประเด็นที่หาได้ยากในหนังสือไทย โดยใช้ความพยายามในการเขียนอธิบายได้อย่างน่ามหัศจรรย์ใจ “เรื่องเล่าจากร่างกาย” จัดเป็นหนังสือสารคดีที่มีเนื้อหาหลากหลาย โดยมีจุดศูนย์กลางของมนุษย์ที่นักปรัชญาเรียกว่า “อนุจักรวาล” ซึ่งผู้เขียนบรรจงเลือกคำพูดและสำนวนโวหารเพื่อจูงใจผู้อ่าน ให้ติดตามเรื่องได้อย่างต่อเนื่อง ไม่น่าเบื่อ มีความสนุกเพลิดเพลิน คลุกเคล้าด้วยสาระความรู้ที่น่ารู้ และมีประโยชน์ตลอดทั้งเล่ม เป็นหนังสือที่จุดประกายความคิด พัฒนาสำนึกเชิงสร้างสรรค์ชีวิตและสังคมอย่างยิ่ง
เพื่อรอยยิ้มเมื่อสิ้นลม เล่ม 1-2
บันทึกเรื่องจริงที่เล่าผ่านประสบการณ์ของพยาบาล โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ ในการช่วยเหลือผู้ป่วยระยะสุดท้าย ที่นอกจากจะมีทุกข์ทางกายแล้ว ยังมีทุกข์ทางจิตใจ ทำให้ผู้ป่วยสามารถยิ้มได้เมื่อสิ้นลม นับแบบอย่างที่ดีของความเห็นอกเห็นใจ ความเสียสละเพื่อผู้อื่น ความสุขที่แท้จริงเกิดจากการให้ยิ่งกว่าการรับ คุณค่าความเป็นมนุษย์ สมบูรณ์ได้ด้วยการทำความดี มีเมตตา กรุณา ช่วยเหลือผู้อื่น ช่วยเหลือสังคม โดยไม่หวังผลตอบแทน ผู้เขียนใช้เวลาถึง 2 ปี เพื่อพูดคุย รวบรวมเรื่องราว สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามในการเก็บข้อมูลที่รอบด้าน ทำให้คนอ่านตระหนักว่า ความตายเป็นเรื่องใกล้ตัว ชีวิตกับความตายนั้นเป็นของคู่กัน เสริมส่งให้ผู้อ่านมีสติในการดำเนินชีวิต เข้าใจถึงสัจธรรมแห่งธรรมชาติ ที่ให้ความเป็นธรรมกับทุกชีวิตโดยเท่าเทียมกัน คือความตาย ความไม่เที่ยงแท้แน่นอน เป็นการเล่าเรื่องด้วยภาษาง่าย ๆ สั้น กระชับ แต่สะเทือนใจให้แง่คิด ทรงคุณค่าทางวรรณศิลป์ จึงเป็นหนังสือสำหรับการเตรียมตัวในเรื่อง “มรณานุสติ” ที่ดียิ่ง
ในอ้อมกอดกาลี
นวนิยายเรื่องนี้แสดงความร่วมสมัยด้วยการสะท้อนภาพสังคมไทยในปัจจุบันที่ทุกจุดและทุกส่วนกำลังจ่อสู่ปัญหา ผู้เขียนสร้างตัวละครชุดหนึ่งขึ้นมาเป็นตัวแทนของบุคคลในกลุ่มปัญหาเหล่านั้น อันได้แก่ วัยรุ่นที่สถาบันครอบครัวล่มสลาย นายทุนผู้ล้มเหลวในธุรกิจและชีวิต ข้าราชการตกอยู่ในร่างแหอันยุ่งเหยิงของการใช้อำนาจ และชาวบ้านผู้งมงายและยากแค้นอยู่กับการหาเช้ากินค่ำ ตัวละครเหล่านี้ต่างถูกครอบงำด้วยกลไกอำนาจรัฐ อำนาจทุนนิยมและอำนาจธรรมชาติ ราวกับถูกโอบล้อมไว้ด้วยอ้อมกอดกาลี ทางแก้ทางเดียวที่ผู้เขียนเห็น แต่สิ้นหวังเสียแล้วในเรื่องนี้ก็คือ ความรักที่มนุษย์พึงมีต่อกัน ความโดดเด่นของเรื่องนี้ไม่เพียงแต่อยู่ที่ความเข้มข้นของเนื้อหาความจริงอันน่าตระหนกตกใจ แต่ยังอยู่ที่กลวิธีของนวนิยายคล้ายสืบสวนสอบสวนแต่กลับปิดฉากด้วยปรากฏการณ์ธรรมชาติได้อย่างสมจริงและสะท้านใจ