กรองและค้นหา

เซเว่นบุ๊คอวอร์ด ครั้งที่ 8

เซเว่นบุ๊คอวอร์ด ครั้งที่ 8

เรื่องลึก(ลับ)ของไดโนเสาร์ไทย

ผู้เขียนสร้างผลงานออกมาด้วยลายเส้นและภาพประกอบที่เรียบง่าย ดูเป็นวิชาการมากแต่ก็เหมาะสมกับเนื้อหาเรื่องราวที่ต้องการนำเสนอในลักษณะการ์ตูนความรู้แนวผจญภัย ซึ่งนอกจากจะต้องใช้ทักษะด้านการวาดภาพแล้ว ยังจำเป็นจะต้องเป็นนักค้นคว้าหาข้อมูล ผลงานการ์ตูนเล่มนี้ลายเส้นหรือตัวการ์ตูนอาจไม่สมบูรณ์เท่าไรนัก แต่นำเสนอสาระความรู้ได้อย่างละเอียดแนบเนียน

บ้าน

ผู้เขียนสร้างงานออกมาด้วยลายเส้นที่สนุกสนาน แม้จะไม่มีตัวอักษรหรือบทพูดใด ๆ ก็ยังอ่านได้เข้าใจดี นำเสนอเรื่องลูกชายที่แสนซน ถูกแม่ตีเสียใจหนีออกจากบ้าน ระหว่างการหนีออกจากบ้านผู้เขียนได้สอดแทรกมุขตลกด้วย สุดท้ายลูกชายที่แสนซนคิดถึงความดีของแม่เลยตัดสินใจกลับบ้าน ปิดท้ายเรื่องราวด้วยความอบอุ่น

หุบมนุษย์

เนื้อหาที่นำมาสื่อมีความเข้มข้นระดับปานกลางและมีฝีมือในการร้อยกรองระดับดีแม้จะมีข้อควรพัฒนาเชิงฉันทลักษณ์ เช่น การใช้คำสัมผัสซ้ำ หากมีการคัดสรรผลงานที่นำมารวมเป็นเล่มให้มีความเข้มข้นทั้งด้านเนื้อหาและปริมาณให้มากกว่านี้จะเป็นรวมบทกวีที่มีข้อความโดดเด่นมากยิ่งขึ้น

บนแผ่นกระดาษ

เป็นรวมบทกวีสะท้อนความคมชัดของทัศนะที่ปรากฏในเนื้อหาแต่ละเรื่องได้อย่างโดดเด่น มีมุมมองในการนำเสนอที่น่าสนใจหลายประเด็น สามารถเล่นคำได้อย่างมีวรรณศิลป์ ทั้งเสียงและความหมาย แม้จะมีปัญหาเรื่องสัมผัสซ้ำและการใช้ถ้อยคำอยู่บ้าง

หมอกขาวอาบดอยเขียว

เป็นรวมบทกวีที่มีเนื้อหาสาระสะท้อนความภาคภูมิใจในความเป็น “คนเมือง” หรือคนภาคเหนือได้อย่างมีพลัง โดยนำ “คำเมือง” มาสอดใส่ในผลงานได้อย่างมีวรรณศิลป์ รวมทั้งหยิบยืมความรุ่มรวยทางรูปแบบวรรณกรรมล้านนามาใช้ได้อย่างเหมาะสมกลมกลืน แม้จะมีข้อด้อยเชิงฉันทลักษณ์อยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ทำให้เกิดการลดทอนพลังในการนำเสนอความประทับใจโดยภาพรวม

เทวดากับยาจก

เรื่องของเทวดาวรินทร ผู้ทำหน้าที่เป็นเทวดาอารักษ์ กับนายศรัทธา วิริยะ ผู้ที่แสนดี แต่ยากจน ชีวิตของเขาประสบแต่ความโชคร้าย และถูกเอาเปรียบเอาเปรียบโดยตลอด เขามีความสุขที่เห็นคนอื่นมีความสุข ยึดมั่นอยู่กับการะทำแต่ความดี พอใจที่ได้ช่วยเหลือผู้อื่นทุกโอกาสเท่าที่จะทำได้ เทวดาวรินทรที่ อยากให้คนดีอย่างนายศรัทธาได้รับผลตอบแทนที่ดีบ้าง จึงเพียรพยายามหาทางช่วยเหลือนายศรัทธาทุกวิถีทาง เทวดาวรินทรต้องไปพบเทวดาตามกระทรวงต่าง ๆ บนสวรรค์ เช่น กระทรวงชะตากรรมมนุษย์ กระทรวงมั่งคั่ง กรมโอกาส กรมลาภ เป็นต้น ซึ่งนอกจากจะไม่สามารถช่วยเหลือนายศรัทธาได้แล้ว ยังส่งผลกระทบมาถึงตัวเทวดาวรินทรอีกด้วย เรื่องดำเนินไปอย่างน่าติดตาม และคลี่คลายในที่สุด คือ ตัวละครเอกทั้งสองได้รับผลแห่งการทำความดี เทวดากับยาจก เป็นหนังสือที่ส่งเสริมการทำความดีโดยไม่หวังผลตอบแทน การช่วยเหลือเกื้อกูลในสังคม ชี้ให้เห็นความสุขที่เกิดจากใจ การมองโลกในแง่ดีเกิดความเชื่อมั่นว่าการทำดีจะส่งผลดีต่อผู้กระทำอย่างแน่นอน

หอมหัวใหญ่ 4 : ฉบับกุมหัวใจ ผู้พิการ

หนังสือการ์ตูนเล่มนี้เป็นการรวมนักเขียนการ์ตูนมืออาชีพ 13 คนมาสร้างสรรค์ผลงานที่ถ่ายทอดมุมมองและเรื่องราวชีวิตอันเกี่ยวเนื่องกับผู้พิการที่หลากหลาย เพื่อให้ผู้อ่านได้ถ่ายทอดมุมมองเรื่องราวชีวิตอันเกี่ยวเนื่องกับผู้พิการที่หลากหลาย เพื่อให้ผู้อ่านได้สัมผัสรับรู้ความรู้สึกนึกคิด เห็นคุณค่าและคำนึงถึงศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกัน เรื่องราวของการ์ตูนแต่ละเรื่อง นำเสนอชีวิตของผู้พิการแต่ละประเภท และบุคคลปกติทั่วไปที่ต้องเกี่ยวข้องหรือมีปฏิสัมพันธ์กัน บางเรื่องนำเสนอเนื้อหาด้วยความละเมียดละไม บางเรื่องแฝงอารมณ์ขัน แต่ก็มุมมองที่ลึกซึ้ง  หลายเรื่องแสดงถึงความอบอุ่นที่ผู้พิการและคนปกติมีชีวิตร่วมกัน การ์ตูนเล่มนี้น่าจะเป็นสื่อที่ทำให้ผู้อ่านทั้งคนพิการและคนไม่พิการได้เปิดใจยอมรับซึ่งกันและกันมากยิ่งขึ้น

Love on 20 pages

หนังสือการ์ตูนเล่มนี้เมื่ออ่านแล้วให้ความรู้สึกใกล้ตัวเหมือนมีประสบการณ์ชีวิตร่วม ทั้งภาพ เรื่องราว และเนื้อหามีบรรยากาศแบบไทย ๆ ที่ทำให้เกิดบรรยากาศที่คุ้นเคย “LOVE ON 20 PAGES” นำเสนอเรื่องราวที่เกี่ยวกับความรักในหลาย ๆ รูปแบบ เช่น พระเอกนางเอกของเรื่องซึ่งเป็นหนุ่มสาวสมัยใหม่  แม้มีอุปนิสัยแตกต่างกัน ทำให้ชีวิตครอบครัวดูปั่นป่วน แต่ก็มีความรักและความอบอุ่น มีเรื่องราวความรักของคนสูงอายุ ความรักของตัวประกอบ ความรักของพ่อแม่ลูก มิตรภาพความรักระหว่างผู้ให้และผู้รับ รวมทั้งความรักของผู้คนทั่ว ๆ ไปในสังคมไทย การ์ตูนเล่มนี้มีลายเส้นที่ทันสมัย ดำเนินเรื่องราวและภาพได้สนุกเต็มไปด้วยชีวิตชีวา มีอารมณ์ มีข้อคิดและแง่มุมดี ๆ ในการใช้ชีวิตร่วมกันระหว่างครอบครัวสามีภรรยา พ่อแม่ลูก เพื่อน ฯลฯ กลิ่นอายของการ์ตูนโดยรวมให้อารมณ์ที่อบอุ่น

MY INSPIRATION

MY INSPIRATION เป็นการรวมผลงานการ์ตูนสั้น 7 เรื่อง “THE DUANG”  ผู้สร้างเรื่องและภาพ วางเค้าโครงเรื่องแต่ละเรื่องได้อย่างลึกซึ้งและแสดงให้เห็นถึงสภาวะแก่นแท้ของมนุษยชนที่ยังเป็นปุถุชน ในแง่มุมที่คมคายและแตกต่างกันออกไป สื่อสารด้านจิตใจและความคิดได้อย่างลุ่มลึก ใช้สัญลักษณ์ในการสื่อความคิดสู่ผู้อ่าน และแสดงความเป็นจริงในชีวิตประจำวัน แสดงวิถีชีวิตที่ดำเนินเรื่องด้วยภาพในรูปแบบใม่ โดยกำหนดหน้ากระดาษหนังสือเป็นกรอบดำเนินเรื่อง การสร้างภาพประสานกับเรื่องได้อย่างดี มีอารมณ์บุคลิกกลมกลืนกับเนื้อเรื่อง ลีลาเส้นสายฝีมือและเทคนิคการวาดภาพสวยงามทันสมัย เรื่องที่โดดเด่นในเล่มคือ RETURN  เป็นการ์ตูนที่เล่าเรื่องด้วยภาพ โดยไม่มีบทบรรยายและบทพูด เนื้อหาโดยรวมสะท้อนปัญหาของวัยรุ่น โดยเฉพาะการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันสมควร ปัญหาที่ตามมาคือตั้งครรภ์และมีบุตรโดยพ่อแม่วัยรุ่นซึ่งยังไม่พร้อมจะมีความรับผิดชอบ นอกจากนี้ ผู้เขียนยังสะท้อนภาพปัญหาสังคมผ่านการ์ตูนเรื่องอื่น ๆ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นมุมมองที่น่าสนใจ “MY INSPIRATION” ให้คุณค่าแง่คิดด้านปรัชญาและสังคม ผ่านสายตาของคนรุ่นใหม่

ใบสอนว่าซั่น

หนังสือแสดงวิถีชีวิตของชาวอีสาน เป็นตำนานที่สร้างความภาคภูมิใจให้อนุชนคนรุ่นหลัง เพราะได้สะท้อนให้เห็นขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรมอันดีงาม ภูมิปัญญาท้องถิ่น ผสมผสานกับการดำเนินชีวิตของชนบท และสิ่งสำคัญคือเป็นแหล่งรวมศูนย์ความรู้อันหลากหลาย นำเสนอด้วยภาษาวรรณศิลป์ที่มีชีวิตชีวาได้อรรถรส เข้มข้นด้วยสาระน่าประทับใจ มีการใช้ภาษาไทยปนลาวอย่างกลมกลืน ทำให้รู้สึกว่าอยู่ในวัฒนธรรมลาวฝั่งไทยอย่างชัดเจน จึงนับว่าทรงคุณค่าแก่การเป็น “หนังสือแนะนำให้อ่าน” เล่มที่ 3

“ไทดำ” เมืองแถง “ทรงดำ” ถิ่นสยาม จากหนองแฮด ถึง หนองปรง

สารคดีบันทึกเรื่องราวการปรับเปลี่ยนของกลุ่มชาติพันธุ์ “ไทดำ” หรือในชื่อเรียกอื่นอีกหลายชื่อ คือ ผู้ไท ไททรงดำ หรือ ลาวโซ่ง ซึ่งยังรักษาขนบธรรมเนียม ประเพณี และพิธีกรรมอันเป็นอัตลักษณ์ตนไว้อย่างน่าชื่นชม แม้ในห้วงสองศตวรรษที่ผ่านมา ชาวไทดำจะถูกกวาดต้อนให้อพยพโยกย้ายกระจัดกระจายไปตั้งถิ่นฐานในหลายพื้นที่ของภูมิภาคอุษาคเนย์ก็ตามที ทั้งนี้ ผู้เขียนยกกรณีศึกษาชาวไททรงดำ บ้านหนองปรง อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งมีหลักฐานว่าแต่ดั้งเดิมอพยพมาจากบ้านหนองแฮด ณ เมืองแถง หรือเดียนเบียนฟู ปัจจุบันเป็นหจังหวัดหนึ่งทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศเวียดนาม โดยผู้เขียนเดินทางเข้าไปสำรวจ ศึกษาและวิจัยขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวไทดำบ้านหนองแฮดอย่างละเอียด แล้วนำมาเปรียบเทียบกับวัฒนธรรมประเพณีของชาวไททรงดำบ้านหนองปรง ก่อนที่จะนำมาถ่ายทอดเป็นสารคดีชาติพันธุ์วิทยา ด้วยภาษาสำนวนที่เข้าใจง่าย ชวนอ่านชวนติดตาม ก่อให้เกิดความตระหนักรู้ถึงความสำคัญของภูมิปัญญาพื้นบ้าน วัฒนธรรมพื้นถิ่น อันควรแก่การปกปักรักษาไว้ จึงนับว่าทรงคุณค่าแก่การเป็น “หนังสือแนะนำให้อ่าน” เล่มที่ ๒

เด็กชายกับนกเงือก ความงาม ความหวัง เผ่าชนคนเดินทาง

สารคดีชนเผ่าอันหลากหลายบนดอยสูงแห่งภาคพื้นพายัพของประเทศไทย อันประกอบด้วย ชาวปกาเกอะญอ คะฉิ่น ลีซู ดาระอั้ง เย้า ล่าหู่ ลัวะ อาข่า และไทใหญ่ นำเสนออย่างมีลีลาทางวรรณศิลป์ โดยสอดแทรกนิทานพื้นบ้าน ตำนานท้องถิ่น คติชนนิยมของแต่ละเผ่าพันธุ์ อันเกิดจากากรลงไปคลุกคลีกับผู้คนบนดอยสูงเป็นเวลายาวนาน ทำให้เป็นหนังสือชวนอ่าน ชวนติดตาม และสร้างจิตสำนึกเชิงสร้างสรรค์ในการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ท่ามกลางความแตกต่าง ผู้เขียนเล่าถึงพิธีกรรม จารีตวัฒนธรรม เอกลักษณ์เครื่องแต่งกาย ภาษา ฯลฯ อันแสดงให้เห็นถึงคุณค่า ความหมาย ที่ทำให้เกิดเผ่าพันธุ์หนึ่งขึ้นมา แต่ประเด็นสำคัญคือ สถานการณ์ของชีวิตที่ต้องพบกับการเปลี่ยนแปลง ความขัดแย้งต่าง ๆ กับอารยธรรมอื่น ปัญหาเรื่องดินแดน การแย่งชิงทรัพยากร การคุกคามชีวิต สมควรที่บุคคลภายนอกจะทำความเข้าใจกับความหลากหลายเหล่านี้ จึงนับว่าทรงคุณค่าแก่การเป็น “หนังสือแนะนำให้อ่าน” เล่มที่ 1

เกิดเป็นคนใต้

เป็นอัตชีวประวัติแบบไทย ๆ บรรยายความรู้เกี่ยวกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎรไทยสามัญที่อยู่ในชนบทห่างไกลของภาคใต้ ในเรื่องการหาอยู่หากิน และวัฒนธรรมด้านอื่น ๆ เช่น ระบบคุณค่า ความสัมพันธ์ทางสังคม โลกทรรศน์และชีวทรรศน์ที่สอดคล้องกันกับภาวะวิสัยของการหาอยู่หากิน ด้วยฝีมือการบรรยายชั้นครู แต่ถึงแม้จะมีลักษณะเป็นอัตชีวประวัติ ทว่าเกร็ดต่าง ๆ ที่แทรกอยู่ คือ องค์ความรู้ทางชาติพันธุ์วิทยา โดยผู้คร่ำหวอดและศึกษาหาความรู้ด้วยวิถีอย่างปราชญ์ วิธีเล่าเรื่องสนุกสนานเป็นกันเอง แต่มีชั้นเชิงทางวรรณศิลป์ ทำให้อ่านได้อย่างเพลิดเพลิน อิ่มเอมในอรรถรสและความรู้รอบด้าน ทรงคุณค่าที่จะเป็นหนังสือรองชนะเลิศอันดับ 2 รางวัลเซเว่นบุ๊คอวอร์ด ประเภทสารคดีชาติพันธุ์วิทยา ประจำปีพุทธศักราช 2554

แผ่นดินนี้ที่อีกฟากเขา

สารคดีนำเสนอเรื่องราวกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีถิ่นฐานอยู่ในเขตภูเขาทางภาคเหนือของประเทศไทย ได้แก่ เรื่องพิธีวิวาห์ตามวิถีของชาวเผ่าเมี่ยน จังหวัดน่าน เรื่องชนเผ่าปกากะญอบนเทือกเขาธงชัยกับการรักษาป่ารักษาน้ำ เรื่องของชาวไทใหญ่ กลุ่มชนที่มีดินแดนและประเพณีวัฒนธรรมของตนกับการแสวงหาเอกราช และกะเหรี่ยงฤษีแห่งป่าตะวันตกชนกลุ่มเดียวในประเทศไทยที่ยังนับถือฤษีเป็นผู้นำทางความเชื่อและจิตวิญญาณ ความงดงามของชนเผ่าเหล่านี้ นำเสนอผ่านลีลาภาษาสำนวนอันละเมียดละไม  บอกเล่าความเป็นมาเป็นไปของคติความเชื่อ ประเพณี พิธีกรรม อย่างลุ่มลึกและน่าเชื่อถือ จากการที่ผู้เขียนค้นคว้าข้อมูลอย่างรัดกุม สอดแทรกทัศนคติและอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของผู้เขียนพอประมาณ เป็นการผสมผสานข้อมูลทางกายภาพเข้ากับข้อมูลทางจินตภาพอย่างมีชั้นเชิงทางวรรณศิลป์ ส่งผลให้ผู้อ่านได้รับอรรถรสเต็มอิ่ม จุดประกายคิดให้ตระหนักในคุณค่าของความเป็นมนุษย์อันพึงเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นพลเมืองหลัก หรือชนชาติส่วนน้อย อย่างไรก็ตาม มีบางส่วนที่หยิบยกประเด็นอื่นขึ้นมาพูด อาทิ เรื่องสิ่งแวดล้อมการสร้างเขื่อน ซึ่งในแง่หนึ่งอาจมองได้ว่าไม่เกี่ยวกับกลุ่มชาติพันธุ์ แต่ในอีกแง่หนึ่งก็ถือได้ว่าเป็นผลกระทบของการจัดการทรัพยากรสมัยใหม่ที่ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงต่อกลุ่มชาติพันธุ์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยรวมแล้วจึงทรงคุณค่าที่จะเป็นหนังสือรองชนะเลิศอันดับ 1 รางวัลเซเว่นบุ๊คอวอร์ด ประเภทสารคดีชาติพันธุ์วิทยา ประจำปีพุทธศักราช 2554

สยามหลากเผ่าหลายพันธุ์

หนังสือเล่มนี้เป็นบทความที่ได้มาจากการสัมภาษณ์บุคคลต่าง ๆ ถึง 22 คน ที่หลากหลายเผ่าพันธุ์จากชุมชนต่าง ๆ ทั่วประเทศไทย และแต่ละคนล้วนมีความภูมิใจในเผ่าพันธุ์ของตน แม้ทุกคนจะรักและเต็มใจเสียสละให้ประเทศไทย แต่ก็ยังต้องการรักษาเอกลักษณ์ชาติพันธุ์ของตนเอง ชี้ชัดว่าสังคมไทยเป็น “พหุสังคม” คือมีผู้คนหลากหลายวัฒนธรรมมารวมกันอย่างกลมกลืน สงบสุข งานเขียนมีลักษณะเป็นสารคดีชีวิตของผู้ดำรงอัตลักษณ์แห่งชาติพันธุ์ตนเองไว้อย่างเด่นชัด ซึ่งมิได้มีเพียงชนเผ่าที่เราคุ้นเคย แต่ยังเจาะลึกถึงเผ่าพันธุ์เล็ก ๆ อย่างชาวชอง ชาวลาวครั่ง ฯลฯ ซึ่งเกิดจากการที่ผู้เขียนพากเพียรเดินทางไปสัมภาษณ์ แล้วนำมาเรียบเรียงเป็นสารคดีที่มีคุณค่าเชิงวรรณศิลป์ มีข้อมูลน่าเชื่อถือ อันเกิดจากการค้นคว้า ศึกษา วิจัย ส่งผลให้เป็นหนังสือชวนอ่าน จุดประกายความคิดให้สังคมตระหนักว่า ความภาคภูมิใจในตนเองควรอยู่บนพื้นฐานของการเคารพและเข้าใจคนอื่นด้วย กลวิธีการนำเสนอของหนังสือเล่มนี้น่าสนใจ เพราะใช้การสัมภาษณ์บุคคลชาติพันธุ์ต่าง ๆ แล้วนำมารวมไว้ในเล่มเดียว จึงให้เห็นภาพกว้างของความหลากหลายของชนเผ่าในประเทศไทย ด้วยวิธีเขียนที่ไม่เป็นทางการมากเกินไปจึงอ่านสนุก พร้อมกับมีเรื่องเล่าต่าง ๆ ที่น่าทึ่ง และแสดงสายสัมพันธ์ระหว่างชนเผ่าต่าง ๆ ให้เห็น ทั้งจากการตั้งสมมติฐาน การเก็บข้อมูล และการสัมภาษณ์ จึงเป็นหนังสือให้ความรู้ด้วยภาษาง่าย ๆ และอ่านได้ด้วยความเพลิดเพลิน ทรงคุณค่าแก่การเป็นหนังสือชนะเลิศรางวัลเซเว่นบุ๊คอวอร์ดประเภทสารคดีชาติพันธุ์วิทยา ประจำปีพุทธศักราช 2554

สงครามและความรัก

“สงครามและความรัก” เป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นที่มีความเด่นในด้านการใช้ภาษาซึ่งสามารถควบคุมและขับเคลื่อนเรื่องราว เพื่อสื่อความคิดมาถึงผู้อ่านได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ประพันธ์มีชั้นเชิงในด้านการสรรคำมาร้อยเรียงได้อย่างเหมาะสมกลมกลืนและมีคุณค่าทางวรรณศิลป์ นอกจากนี้เนื้อหาในเรื่องสั้นยังมีแง่มุมหลากหลายในขณะเดียวกันก็มีเอกภาพที่สะท้อนให้เห็นว่ามนุษย์จำเป็นต้องดำรงอยู่ร่วมกันด้วยเสรีภาพและความรักเป็นหลักสำคัญ

ไปยาลใหญ่ในปัจฉิมดำริ

“ไปยาลใหญ่ในปัจฉิมดำริ” เป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นที่มีเอกลักษณ์ เพราะหลายเรื่องผู้ประพันธ์นำเสนอประเด็นโต้แย้งที่เกิดจากมุมมอง แง่คิด จากพฤติกรรมที่เห็นและเป็นอยู่ของผู้คนในสังคมไทยยุคปัจจุบัน เช่น ประเด็นโต้แย้งเกี่ยวกับความซื่อสัตย์-การฉกฉวยโอกาส ค่านิยมด้านเพศรส-พรหมจรรย์ วิถีกรุง-วิถีชนบท ฯลฯ ซึ่งประเด็นโต้แย้งต่าง ๆ ดังกล่าวนี้  ท้ายที่สุดผู้อ่านจะได้รับคำตอบที่กระจ่างเมื่ออ่านเรื่องจบลงอย่างใคร่ครวญ ผู้ประพันธ์มีกลวิธีการนำเสนอด้วยลีลาที่แตกต่าง ทั้งยั่วล้อ เสียดสี ประชดประชัน และเคร่งขรึมจริงจัง และด้วยศักยภาพในการใช้ภาษาได้อย่างเข้าใจและเข้าถึง รู้จักเล่นสนุกกับคำและสำนวนทั้งในด้านเสียงและความหมาย ทำให้หนังสือรวมเรื่องสั้นเล่มนี้เป็นงานเขียนที่มีเสน่ห์ มีชีวิตชีวา ชวนอ่าน

เส้นผมบังจักรวาล

“เส้นผมบังจักรวาล” เป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นที่ถ่ายทอดความเป็นไปของชีวิต ผ่านบทบาทของตัวละครในฉากเล็ก ๆ แคบ ๆ และธรรมดาดังที่พบเห็นกันอยู่ แต่ด้วยมุมมองและจินตนาการของผู้เขียน  ภาพที่ปรากฏต่อผู้อ่านกลับมีแง่มุมแปลกใหม่ที่น่าสนใจและชวนให้ขบคิดตาม ผู้เขียนมีศิลปะในการเล่าเรื่องด้วยลีลาภาษาร่วมสมัย และสร้างโครงเรื่องที่หลากหลายใช้กลวิธีต่างกัน มีทั้งแนวสมจริง เหนือจริง สัญลักษณ์ และอื่น ๆ นำผู้อ่านไปสัมผัสกับความรัก ความชัง ความทุกข์ ความสุข ความเจ็บปวด และความเฉยชาที่มีอยู่ในการเกิด การตาย และการดิ้นรนเพื่อจะมีชีวิตอยู่ของตัวละคร และสื่อความหมายเป็นนัยว่าถ้ามองทะลุตัวละครเหล่านั้นไป ก็จะพบความจริงเช่นเดียวกันในโลก

สายลมกับทุ่งหญ้า

เรื่องราวของตากับหลานที่มีรายละเอียดอันอ่อนโยนของชีวิต ซึ่งดำเนินไปตามวิถีโลก บอกเล่าถึงความผูกพันของคนสองวัย คือ กายในวัยที่กำลังเรียนรู้เพื่อความเข้มแข็งกับตาคำผู้ซึ่งผ่านประสบการณ์ชีวิตอันเข้มข้นและมองทุกอย่างผ่านสายตาอันลึกซึ้งและแหลมคม การดำรงอยู่และเติบโตของกายสวนทางกับความร่วงโรยและการจากพรากของตาคำ แต่เรื่องราวระหว่างบรรทัดนั้นเองที่ทำให้กายและผู้อ่านได้ค้นพบความหมายของชีวิตผ่านสายลมกับทุ่งหญ้าอันงดงามในความเป็นจริง วิเชียร ไชยบัง สามารถใช้ภาษาและจินตนาการก่อให้เกิดความเพลิดเพลิน และชวนติดตามเรื่องราวของตัวละครที่เปรียบเสมือนบุคคลที่เราได้พบเห็นในสังคมชนบทที่ยังมีความรัก ความผูกพันและอบอุ่นไปด้วยน้ำใจไมตรีซึ่งไม่มีวันลบเลือนไปจากสังคมไทย

นักล่าผู้น่ารัก

นักล่าผู้น่ารักเป็นนวนิยายเกี่ยวกับสุนัขที่นำเสนอโดยเน้นเรื่องราวชีวิตของสุนัขสองตัวที่มีภูมิหลัง และพฤติกรรมแตกต่างกัน แต่ชะตาชีวิตทำให้ได้พบและร่วมเดินทางผจญภัยจนเกิดมิตรภาพแน่นแฟ้น และนำไปสู่ความสำเร็จ แม้ว่าเป็นเรื่องของสัตว์เลี้ยงธรรมดา แต่หนังสือเรื่องนี้ก็มีความโดดเด่นด้วยโครงเรื่องที่สนุกสนานให้สาระความรู้ที่มีประโยชน์ และสอดแทรกข้อคิดที่เหมาะสมไว้อย่างแยบยล “นักล่าผู้น่ารัก” มีองค์ประกอบของวรรณกรรมเยาวชนที่ดี ทั้งในด้านโครงเรื่อง ตัวละคร แนวคิดและสำนวนภาษา โครงเรื่องสนุกสนานชวนติดตาม มีปมปัญหาและข้อขัดแย้งทั้งในด้านความคิดจิตใจของตัวละครและเหตุการณ์ต่าง ๆ ซึ่งตัวละครต้องใช้สติปัญญา ความกล้าหาญ และความร่วมมือแก้ปัญหาโดยไม่เคยสิ้นความหวัง ตัวละครมีความชัดเจนทั้งรูปร่างลักษณะ ความคิดและความรู้สึก ด้วยการบรรยายเรียบง่าย บทสนทนาที่เหมาะสมกับบทบาทและบุคลิกของตัวละคร และข้อมูลพื้นฐานพฤติกรรมของตัวละคร ผู้ประพันธ์มีกลวิธีที่แนบเนียนในการนำเสนอแนวคิด โดยสะท้อนตัวละครเอกที่มีความแตกต่างและความขัดแย้งกัน แต่เมื่อต้องเดินทางร่วมทุกข์ร่วมสุข ฟันฝ่าอุปสรรคอันตรายต่าง ๆ ซึ่งเกิดมิตรภาพแน่นแฟ้นเป็นที่ประทับใจ สะท้อนแนวคิดและคุณธรรมด้านความสุขของการเป็นผู้ให้ ความเอื้อเฟื้อ การยอมรับและรับฟังผู้อื่น ความกล้าหาญอดทน ความหวัง ซึ่งช่วยให้ผ่านพ้นอุปสรรคไปสู่เป้าหมายที่ต้องการได้ นอกจากนี้ยังเสนอความคิดต่อสังคมเรื่องสัตว์เลี้ยงผ่านบทสนทนาของตัวละครที่เป็นคน โดยสะท้อนพฤติกรรมของผู้ที่รักและเมตตาสัตว์อย่างแท้จริง ซึ่งจะคงอยู่ตลอดไปกับผู้ที่รักอย่างมีเงื่อนไข หรืออาจเปลี่ยนเป็นความโหดร้ายและการทอดทิ้ง  เมื่อสิ้นประโยชน์หรือเสื่อมค่าลง ผู้ที่มีสัตว์เลี้ยงจึงต้องมีความรัก ความเมตตา และรับผิดชอบดูแลสัตว์เลี้ยงของตนตลอดไป หนังสือเรื่องนี้เรียบเรียงด้วยสำนวนภาษากระชับสละสลวย และมีความไพเราะงดงามสอดคล้องกับเนื้อหา มีการเปรียบเทียบคมคาย  ให้ภาพพจน์และเข้าใจง่าย การนำเสนอเนื้อหาแบ่งเป็นบทย่อย มีการขึ้นต้น และจบบทที่สอดรับสัมพันธ์กันอย่างดี และแทรกภาพประกอบสวยงามเข้ากับเนื้อเรื่อง นับเป็นหนังสือที่มีคุณค่า ทั้งสำหรับเยาวชนและผู้ใหญ่ หนังสือเรื่อง “นักล่าผู้น่ารัก” จึงสมควรได้รับการยกย่องเป็นหนังสือดีเด่นรางวัลชนะเลิศ “เซเว่น บุ๊คอวอร์ด” ประเภท “วรรณกรรมสำหรับเยาวชน” ประจำปี พ.ศ. 2554

บุษบาเร่ฝัน

ความทุกข์ที่กัดกร่อนใจมนุษย์อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันคือความอิจฉา มนุษย์ส่วนใหญ่ม้กไม่พอใจในสิ่งที่ตนเองมีและเป็น “ร่มแก้ว” นำเสนอความคิดนี้ผ่านหญิงสาวคนหนึ่งที่ไม่มีอะไรโดดเด่นไม่ว่าหน้าตา การเรียน  ความสามารถในการทำงาน เธอกลืนหายไปในหมู่ผู้คน เธอมักคิดเปรียบเทียบตนเองกับคนอื่นอยู่เนือง ๆ และเฝ้าฝันแต่เพียงว่าเธอจะเป็นเช่นนั้นบ้างเพราะเธอรู้ตัวดีว่าไม่อาจปรับบุคลิก เปลี่ยนนิสัย รื้อภูมิหลัง หยิบฉวยพรสวรรค์ของใครมาเป็นของตนเองได้ นอกเสียจากว่าปาฏิหาริย์จะบังเกิด เหมือนชะตากรรมเล่นตลก สิ่งสมมติในใจเธอกลับเป็นจริง เธอสวมชีวิตของคนอื่นที่เอาเข้าจริง ๆ แล้วก็ไม่ได้หรูเลิศวิไลดังในความฝัน ทุกชีวิตล้วนมีปัญหา มีความลับที่ซ่อนเร้นมีทุกข์ที่แบกไว้ซึ่งผู้อื่นไม่เคยล่วงรู้ ในร่างของคนอื่น เธอได้มองตัวเองและเห็นชีวิตที่ผ่านมาซึ่งอาภัพและอับโชค ว่าช่างดีเสียยิ่งกว่าชีวิตของคนอื่นที่เธอเคยอิจฉา เธอเคยมองข้ากระทั่งความรักความปรารถนาดีของผู้คนที่รายร้อม เฝ้าครุ่นคิดแค้นเคืองโชคชะตา แต่แล้วในที่สุดโชคชะตาก็กลั่นแกล้งเธอ “ร่มแก้ว” สามารถนำเสนอชีวิตของผู้หญิงสี่คนสี่แบบได้อย่างมีมิติ ทุกคนมีทุกข์ที่ต้องทน มีฝันที่ต้องก้าว มีความรักที่อยากครอบครอง “สลับร้างสร้างเรื่อง” ไม่ใช่กลวิธีใหม่ แต่ “ร่มแก้ว” สามารถใช้กลวิธีนี้ดำเนินเรื่องอย่างน่าติดตาม และคนอ่านเอาใจช่วยให้ปาฏิหาริย์บังเกิดแม้จวนเจียนจะหมดหวัง ราวกับแฝงนัยว่าการเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเราเป็นเรื่องยาก แต่การหวนกลับมาเป็นตัวเราที่เปลี่ยนไปเป็นคนอื่นแล้วแสนลำเค็ญเสียยิ่งกว่า สารของเรื่องนี้ชวนให้ฉุกคิดย้อนทบทวนมองหาความสามารถที่ไม่เคยรู้ตัวว่ามี ให้ภูมิใจในตัวเอง รักในสิ่งที่มี เห็นคุณค่าในสิ่งที่เป็น เพราะนั่นคือพรอันประเสริฐยิ่งที่มนุษย์พึงมอบให้แก่ตนเอง คณะกรรมการตัดสินประเภทนวนิยาย รางวัลเซเว่นบุ๊คอวอร์ด ประจำปี พ.ศ. 2554 ลงมติให้นวนิยายเรื่องบุษบาเร่ฝันได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2

โลกประหลาดในประวัติศาสตร์ความเศร้า

ศิริวร  แก้วกาญจน์  สร้างสรรค์นวนิยายเรื่องโลกประหลาดในประวัติศาสตร์ความเศร้า โดยนำเสนอประเด็นเนื้อหาในระดับมหาภาค  นั่นคือการทำล้างเผ่าพันธุ์ที่ผู้มีอำนาจกระทำต่อชนกลุ่มน้อย การต่อสู้กับอำนาจเผด็จการทหารเพื่อสิทธิ เสรีภาพและประชาธิปไตย และอำนาจทุนนิยมที่ฉกฉวยประโยชน์ทุกวิธีแม้กระทั่งจุดไฟสงคราม เรื่องราวของกระเหรี่ยงอพยพหนีทหารพม่าที่ปล้น ฆ่า ข่มขืน บ้านเรือนถูกเผา ครอบครัวกระเจิดกระเจิงพลัดพราก และเรื่องราวของนักศึกษาพม่าที่หลบหนีลี้ภัยจากการกวาดล้างของรัฐบาลทหารมาใช้ชีวิตในค่ายอพยพและเมืองเล็กบริเวณตะเข็บชายแดนไทย-พม่า รวมทั้งเรื่องราวชองประชาชนพม่าที่ถูกกดขี่รังแกต้องหลบซ่อนในป่าเป็นผู้ลี้ภัยในประเทศของตนเอง ถูกถ่ายทอดในนวนิยายชื่อยาวนี้ด้วยเทคนิควิธีต่าง ๆ ได้แก่ การเล่าเรื่องตัดสลับไปมาที่ทำให้เวลาเลื่อนไหลอยู่ระหว่างอดีตกับปัจจุบัน การใช้ภาพเหนือจริง การแทรกตำนานและนิทานพื้นบ้าน เรื่องราวของคนชายขอบ นัยเปรียบเทียบระหว่างความทุกข์เศร้าส่วนตัวกับความทุกข์เศร้าของมนุษยชาติ และการใช้รูปแบบของนวนิยายที่แทรกด้วยบันทึกส่วนตัวของตัวละครผู้เล่าเรื่อง ซึ่งเป็นการสร้างเรื่องเล่าคู่ขนาน 2 เรื่อง เพื่อทำลายนิยามของนวนิยายตามขนบเดิม กลวิธีทางวรรณศิลป์ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ทำให้นวนิยายเรื่องนี้เป็นวรรณกรรมสร้างสรรค์ที่มีลักษณะของคตินิยมหลังสมัยใหม่ (post-modernism) อันเป็นพัฒนาการของวรรณกรรมไทยร่วมสมัย ความโดดเด่นของนวนิยายเรื่องโลกประหลาดในประวัติศาสสตร์ความเศร้าอยู่ที่การสร้างบรรยากาศของความเศร้าที่กัดกินใจของผู้อ่าน แววตาหม่นมัว ใบหน้าโศกหมอง น้ำตาที่ต้องกักกั้นกันไว้ในอกเพื่อไม่ให้ความเศร้าแพร่ออกไปสู่ผู้อื่นเหมือนโรคระบาด ความหวาดกลัว หวั่นระแวง ที่เกาะกุมใจจนแทบไม่อาจควบคุมสติ ลมหายใจแห่งความหม่นหมอง มืดมน มัวซัว สลดหดหู่ ไร้ความหวัง ระบาดอยู่แทบทุกบรรทัด ผู้อ่านจึงได้ซึมซับความรู้สึกสูญเสียของคนที่ถูกปล้นชิงทรัพย์สิน และความเป็นคน และเศร้าสร้อยไปกับความเจ็บปวดของคนพลัดถิ่นที่มี่แผ่นดินใต้ฝ่าเท้าให้เหยียบยืน นวนิยายเรื่องนี้บอกเราว่า ยิ่งโลกก้าวรุดไปข้างหน้า มนุษย์ก็ยิ่งถอยห่างจากความรัก ความดีงาม ความเข้าใจเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกันซึ่งเคยหลักรากอยู่ในจารีตวัฒนธรรมเก่าแก่มากยิ่งขึ้น นวนิยายเรื่องโลกประหลาดในประวัติศาสตร์ความเศร้าจึงสมควรได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 รางวัลเซเว่นบุ๊คอวอร์ด ประจำปี 2554

น้ำเล่นไฟ

นวนิยายเรื่องน้ำเล่นไฟของกฤษณา อโศกสิน นำเสนอคุณค่าของอาชีพเกษตรกรรม ผ่านเรื่องราวของครอบครัวเกษตรกรหัวก้าวหน้าไปพร้อมกับครอบครัวเศรษฐีเจ้าของตลาดสดสมัยใหม่  ทั้งสองครอบครัวมีลักษณะที่เหมือนกันคือประกอบอาชีพด้วยจิตใจมุ่งมั่น ขยันขันแข็ง อดทน และดำรงตนด้วยความซื่อสัตย์ อดออม ประกอบกับใช้สติปัญญาความรู้ที่สืบทอดจากภูมิปัญญาดั้งเดิมของบรรพบุรุษ และนำแนวพระราชดำริเรื่องเกษตรทฤษฎีใหม่และหลักเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการทำมาหาเลี้ยงชีพและดำรงตน ให้พอดี พอประมาณ และพอใจ อันสร้างความสุขแก่บุคคลและสังคมอย่างยั่งยืน เส้นทางของเกษตรกรผู้ผลิตสินค้าคุณภาพ ปลอดสารพิษ ที่ใส่ความรักความอาทรลงในทุกพืชผลและพื้นดิน รับผิดชอบต่อชีวิตและสิ่งแวดล้อม จึงมาบรรจบกับนายทุนเจ้าของตลาดผู้มีเจตนารมณ์ในการจำหน่ายสินค้าดี สร้างเสริมคุณภาพชีวิตแก่ผู้บริโภค พร้อมกับดำเนินธุรกิจของตนให้เป็นตลาดสดครบวงจรที่สะอาด สะดวก ปลอดภัย เป็นธรรม และเป็นมิตรทั้งผู้ขายและผู้ซื้อ นายทุนและเกษตรกรดูเหมือนจะเป็นคู่ตรงข้าม โดยฝ่ายหนึ่งเป็นผู้เอาเปรียบ อีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้เสียเปรียบ แต่ในนวนิยายเรื่องนี้ ผู้ประพันธ์แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่แลดูเหมือนอยู่คนละขั้ว คนละฝ่าย อาจจะไม่ใช่สิ่งที่แย้งกัน หากแต่อาจจะเป็นสิ่งที่เสริมให้อีกฝ่ายหนึ่งโดดเด่นขึ้นเมื่อความสัมพันธ์นั้นเดินไปตามธรรมะ ตามธรรมชาติ น้ำเป็นสิ่งที่อยู่ตรงข้ามกับไฟ หากแต่แสงเจิดจ้าของไฟที่ส่องกระทบน้ำทำให้เกิดประกายระยิบระยับ คลื่นน้ำและแสงไฟจึงเล่นล้อกันไปมาเป็นภาพงดงามจับใจ ดังข้อความที่ผู้ประพันธ์บรรยายไว้ว่า “เมื่อยามลมพันมาพาเอาระลอกน้ำในนากุ้งแล่นละลิ่วพลิ้วตามกัน ครั้นกระทบแสงอาทิตย์อันกราดกล้า ก็ยิ่งสะท้อนประกายพาให้น้ำระยิบระยับจับนัยน์ตามจำเริญใจ” ดังนั้น นวนิยายเรื่องน้ำเล่นไฟจึงเสนอให้เห็นว่านายทุนเกษตรกรต่างต้องพึ่งพาเกื้อกูลส่งเสริมซึ่งกันและกัน อันเป็นการดำเนินเศรษฐกิจแบบสร้างสรรค์ โดยมีเป้าหมายในการส่งเสริมคุณภาพของชีวิต คุณภาพของสังคม คุณภาพของประเทศชาติ และคุณภาพของประชาคมโลกในที่สุดถึงแม้ว่านวนิยายเรื่องนี้จะนำเสนอประเด็นทางสังคมที่หนักหน่วง แต่ผู้ประพันธ์ก็มิได้ละเลยเสน่ห์ของนวนิยายที่ชวนอ่านด้วยการสร้างปมขัดแย้งในครอบครัว ปมขัดแย้งในใจของตัวละคร และความไม่ลงรอยกันของตัวละครคู่เอก ซึ่งในที่สุดก็คลี่คลายลงด้วยดี เพราะมีความรักและอุดมคติไปในทิศทางเดียวกัน ด้วยเหตุที่นวนิยายเรื่องน้ำเล่นไฟมีความโดดเด่นในด้านเนื้อหาแนวคิดที่สร้างสรรค์ การสร้างตัวละครที่มีชีวิตชีวา การนำเสนอรสอารมณ์ที่บันเทิงใจ ภาษาและกลศิลป์ที่เนียนงามด้วยฝีมือของผู้ประพันธ์ที่ได้รับการเชิดชูเกียรติเป็นศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ คณะกรรมการจึงมีมติให้นวนิยายเรื่องนี้ได้รับรางวัลชนะเลศ รางวัลเซเว่นบุ๊คอวอร์ด ประจำปี 2554

ประเทศของเราและเรื่องเล่าหลายๆ เรื่อง

ประเทศของเรา และเรื่องเล่าหลาย ๆ เรื่อง ของอภิชาติ จันทร์แดง เป็นรวมบทกวีที่นำเสนอเรื่องราวของสังคมไทยร่วมสมัยในมิติต่าง ๆ  เช่น สื่อและข่าวสารที่มีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตผู้คน สถานการณ์ความรุนแรงทั้งในเมืองหลวงและโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ผู้ประพันธ์เล่าเรื่องราวของสังคมจากมุมมองของชีวิตผู้คนทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ ชาวบ้าน และเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ล้วนต้องตกอยู่ในภาวะแห่งความหวาดกลัวในทุกขณะของการใช้ชีวิตประจำวัน ความระทดท้อต่อชีวิตในท่ามกลางความรุนแรงและภยันตรายต่าง ๆ ในสังคมเพื่อให้ผู้อ่านเห็นใจและเข้าใจสภาพการณ์เหล่านั้นมากยิ่งขึ้น ด้านรูปแบบการประพันธ์ ผู้ประพันธ์ใช้กลอนสุภาพและกลอนเปล่าในการนำเสนอเรื่องเล่าต่าง ๆ จากหลากหลายมุมมองด้วยลีลาที่เรียบง่ายแต่กินใจ

มหาวิหารแห่งสุวรรณภูมิ

มหาวิหารแห่งสุวรรณภูมิ ของ บัญชา อ่อนดี เป็นผลงานที่นำเสนอสังคมไทยร่วมสมัย ซึ่งประกอบด้วยความหลากหลายแตกต่างทางวิถีชีวิต วัฒนธรรม ค่านิยม และความเชื่อ ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมือง และความเปลี่ยนแปลงที่มุ่งไปสู่ “ความสุขสำเร็จรูป” ผู้เขียนเรียงร้อยภาพเหตุการณ์ โดยเฉพาะภาพวิถีชีวิตที่เรียบง่ายของผู้คนในแต่ละภูมิภาคได้อย่างมีพลังและมีชีวิตชีวา สามารถจัดวางจังหวะในการนำเสนอเนื้อหาได้สอดคล้องกลมกลืนอย่างมีเอกภาพ ไม่ต่างจากคีตนิพนธ์ที่มีความสอดประสานของท่วงทำนองได้อย่างลงตัว ผู้ประพันธ์สามารถนำเสนอเนื้อเรื่องได้อย่างมีโครงสร้างชัดเจน มีลำดับการนำเสนอเรื่องราวอย่างมีขั้นตอน โดยแบ่งเนื้อหาเป็น 3 ภาค ภาคแรก ที่เป็นมา นำเสนออดีตของสังคมไทย  ภาคที่สอง ที่เป็นไป นำเสนอความเปลี่ยนแปลงด้านการปกครองตั้งแต่ พ.ศ.2475 เป็นต้นมา และภาคที่สาม ที่คงอยู่ คือ สภาพการณ์ทางการเมืองและสังคมไทยในปัจจุบัน ผู้ประพันธ์สามารถใช้สัญลักษณ์ “มหาวิหารแห่งสุวรรณภูมิ” และลีลาทางวรรณศิลป์ซึ่งแม้จะไม่ได้เอ่ยถึงสิ่งที่ต้องการจะสื่อโดยตรงแต่ใช้การพรรณนา ทำให้ผู้อ่านเข้าใจสิ่งที่ต้องการนำเสนอได้อย่างมีประสิทธิภาพ การใช้ถ้อยคำมีความเรียบง่ายเป็นธรรมชาติไม่ประดิดประดอยจนเกินพอดี สอดคล้องกับแนวคิดสำคัญของเรื่อง  

ณ ที่ซึ่งแม่โพสพเคยสถิต

ณ ที่ซึ่งแม่โพสพเคยสถิต ของ ไพวรินทร์ ขาวงาม เป็นรวมบทกวีที่นำเสนอภาพของสังคมอีสานในยุคโลกาภิวัฒน์ ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปทุกระดับ ทั้งระดับสังคมโดยรวมและระดับวิถีชีวิตของปัจเจกบุคคล นโยบายของภาครัฐที่ยังคนเป็นว่าอีสานเป็นดินแดนด้อยพัฒนาและแห้งแล้ง จึงนำเสนอนโยบายเปลี่ยนแปลงทุ่งกุลาร้องไห้เป็นอุตสาหกรรม เป็นดินแดนกาสิโนและสวนสนุกหรือให้เป็นที่นำขยะของเมืองมาทิ้ง ผู้ประพันธ์ให้ความสำคัญกับชาวนา ซึ่งกล่าวกันว่าเป็นกระดูกสันหลังของชาติ ทำนาหล่อเลี้ยงผู้คนทั้งแผ่นดิน แต่วิถีชีวิตของชาวนาต้องยากลำบากและระทมขมขื่น สภาพท้องนาที่เคยอุดมและเป็นที่ซึ่งแม่โพสพเคยสถิตนั้น บัดนี้แปรเปลี่ยนจนแม่โพสพก็ไม่อาจสถิตอยู่ได้ ด้านวิถีชีวิต หนุ่มที่เคยมุ่งเข้าเมืองเพื่อคามหวังไปสู่ชีวิตที่ดีกว่า มาบัดนี้ พิษของสังคมทุนนิยมและเศรษฐกิจฟองสบู่ ทำให้รัฐส่งเสริมนโยบายกลับสู่ชนบท แต่เมื่อกลับไปสภาพสังคมก็ไม่เหมือนเดิมเพราะนโยบายการ “พัฒนา” สังคมเกษตรกรรมของอีสานให้กลายเป็นสังคมอุตสาหกรรม ส่วนสาวอีสานยุคโลกาภิวัฒนามุ่งแต่งงานกับชาวต่างชาติเพื่อยกระดับฐานะของตนเองและครอบครัว หมู่บ้านและบ้านอีสานในวันนี้ ผู้ประพันธ์รู้สึกราวกับว่า “ไม่มีบ้านให้กลับ” ณ ที่ซึ่งแม่โพสพเคยสถิต  ไม่เพียงให้ภาพสังคมอีสานที่แปรเปลี่ยนในภาพกว้าง แต่ยังคงเน้นการพรรณนาอารมณ์ความรู้สึกภายในของผู้คนที่รักในท้องถิ่นของตนแต่ต้องขื่นชมกับวิถีชีวิตที่แปรเปลี่ยนได้อย่างร้าวลึกสะเทือนอารมณ์ ในด้านศิลปะการประพันธ์ ด้วยลีลาที่ลื่นไหลและหลากหลาย บทกวีของไพวรินทร์มีเสน่ห์ของสีสันท้องถิ่น การผสมผสานท่วงทำนองของกลอนแบบฉบับกับรูปแบบฉันทลักษณ์ท้องถิ่น เช่น ผญาและภาษาถิ่นทำให้เกิดท่วงทำนองเฉพาะตนที่สามารถให้ภาพวิถีชีวิตจิตใจและอารมณ์ของผู้คนอีสานได้อย่างเรียบง่าย แต่คมคาย ลุ่มลึกและกินใจ