กรองและค้นหา

เซเว่นบุ๊คอวอร์ด ครั้งที่ 6

เซเว่นบุ๊คอวอร์ด ครั้งที่ 6

เดินตามรอย

“เดินตามรอย”ของวันเนาว์ ยูเด็น คือผลงานที่นำเอา ‘โคลงโลกนิติ’ วรรณกรรมเก่าลายคราม ฉบับพระนิพนธ์ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเดชาดิศร มาเป็นแรงบันดาลใจ โดยผู้เขียนได้คัดเลือกโคลงจำนวน ๘๐ บท ที่มีเนื้อหาต่างกันมาเกริ่นนำ แล้วร้อยเรียงเสียใหม่ในรูปแบบ ‘กลอนสุภาพ’ เพื่ออธิบายขยายความวรรณกรรมคำสอนอันทรงคุณค่านั้น รวม ๘๐ สำนวน การนำของเก่ามาเล่มใหม่โดยผูกโยงสังคมปัจจุบันด้วยฝีมือนักกลอนชั้นครู นอกจากทำให้เข้าใจง่ายขึ้นแล้ว ผู้อ่านยังได้รับความรื่นรมย์พร้อมๆ กันไปด้วย

นั่งแลหวัน……ฝันถึงนางฟ้า

เป็นรวมบทกวี (ฉันทลักษณ์และไร้ฉันทลักษณ์)     สะท้อนความคิด และอารมณ์ของผู้เขียนที่มีต่อผู้คนและสรรพสิ่งรอบข้าง มีการเลือกใช้คำได้ดีพอสมควร เห็นภาพ และมีการเล่นสำนวนโวหารในระดับดี

แม้ฟ้าหม่นแผ่นดินมืด

เป็นรวมบทกวีหลากหลายฉันทลักษณ์  สะท้อนโลกทัศน์และอารมณ์สะเทือนใจที่กวีมีต่อสังคมและการเมืองไทย กวีสามารถเลือกสรรคำได้ดี สร้างภาพได้งดงาม และสร้างสำนวนโวหารได้ไพเราะกินใจ

เมืองไทยในอนาคต

เป็นเรื่องสั้นแนววิทยาศาสตร์ 8 เรื่อง  ผู้เขียนสะท้อนแง่มุมทางวิทยาศาสตร์ผ่านจินตนาการร่วมสมัย ชี้ให้เห็นผลของความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่มีต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์ อาทิ โรคร้ายสมัยใหม่ เรื่องรหัสลับพันธุกรรม มนุษย์หุ่นยนต์ การสำรวจอวกาศ เรื่องของสัตว์พันธุ์ใหม่ในโลกอนาคต เป็นต้น ผู้เขียนสร้างโลกอนาคตให้คนอ่านได้เห็นภาพได้ดี และไม่ทิ้งอารมณ์สะเทือนใจ

ลูกชายของแม่

เป็นรวมเรื่องสั้น 7 เรื่อง มีเนื้อหาสาระเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของมนุษย์กับมนุษย์ และมนุษย์กับสรรพสิ่งรอบตัว  ผู้เขียนสามารถหยิบยกเอามุมความสัมพันธ์บางแง่มุมที่น่าสนใจมานำเสนอ เช่น คนกับกระป๋องที่กลิ้งไปมาบนรถเมล์  คนกับคอมพิวเตอร์  คนกับเครื่องซักผ้า คนกับท้องนา  เป็นต้น ผู้เขียนมักใช้วิธีเล่าผ่านสรรพนามบุรุษที่ 1 ซึ่งสะท้อนอารมณ์ด้านลึกได้ดี

เมืองอันตราย

เรื่องสั้นเมืองอันตรายเป็นรวมเรื่องสั้น 9 เรื่อง แต่ละเรื่องมีเนื้อหาเกี่ยวกับแง่มุมชีวิตและพฤติกรรมมนุษย์ที่แตกต่างกันไป ผู้เขียนเล่าเรื่องผ่านภาษาเรียบง่าย มีกลวิธีการนำเสนอกระจ่างชัด อ่านแล้วได้อารมณ์ตามต้องการ บางเรื่องมีอารมณ์ขันแกมขื่นผสมผสานด้วย

บาป บุญ คุณธรรม

นิยายภาพเล่มนี้เป็นการรวบรวมงานนิยายภาพเรื่องสั้น ๆ ที่ผู้วาดเคยวาดเป็นตอน ๆ และตีพิมพ์อยู่ในหนังสือพิมพ์และนิตยสารต่าง ๆ หลายฉบับ บางเรื่องผู้วาดก็แต่งเรื่องเอง บางเรื่องได้แรงบันดาลใจมาจากเพลง บางเรื่องได้เค้าโครงจากเรื่องสั้น-เรื่องเล่า จากต่างประเทศ มีบางเรื่องก็เขียนจากเหตุการณ์จริง แต่เมื่อนำมาเขียนเป็นนิยายภาพก็นับว่าทำได้ดี สามารถรักษาเค้าโครงเรื่องและประเด็นสำคัญของเรื่องเอาไว้ได้ครบถ้วน สามารถสะท้อนแก่นของเนื้อหาและวัตถุประสงค์โดยรวม คือ การสะท้อนแง่จริยธรรมและคุณธรรมเป็นเป้าหมายสำคัญ ฝีมือการวาดภาพการลำดับภาพและจัดทำบทการ์ตูนได้มาตรฐานระดับรุ่นครู  การเขียนตัวละครแสดงถึงอารมณ์ ความรู้สึกและท่าทางเป็นไปอย่างกลมกลืนทั้งเนื้อหาและรูปภาพนับว่ามีคุณค่าน่าประทับใจ แต่เป็นเพราะว่าเป็นการรวบรวมผลงานจากห้วงเวลาต่างกันทำให้มีลักษณะงานที่หลากหลายสไตล์ ทำให้ภาพรวมของหนังสือขาดความเป็นเอกภาพ คณะกรรมการจึงพิจารณาให้ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2

โรงเรียนเม็ดกวยจี๊ เทอม 2

นิยายภาพเล่มนี้มีรูปแบบและเนื้อหาที่ดูทันสมัยเป็นการ์ตูนในรูปแบบของการสะท้อนปัญหาสังคมและการเมือง โดยวางแนวเรื่องให้ผู้อ่านสามารถต่อยอดความคิดได้ มีความคิดสร้างสรรค์ในการสร้างตัวละครและเนื้อหา หนังสือ “โรงเรียนเม็ดกวยจี๊เทอม 2” นี้ แบ่งเป็นเรื่องหรือบทสั้น ๆ 8 บท เนื้อหาเป็นการย่อหรือจำลองสังคมประเทศลงมาเป็นโรงเรียนเล็ก ๆ มีครู และนักเรียนเป็นตัวแทนคนในสังคมใหญ่ ตัวละครทุกตัวถูกสร้างสรรค์ให้มีบุคลิกที่แตกต่างและโดดเด่นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทุกบทในหนังสือเล่มนี้สามารถสะท้อนวิถีการเมืองร่วมสมัยได้ชัดเจน สามารถกระตุ้นให้ผู้อ่านโดยเฉพาะเยาวชนให้เกิดการตื่นตัวในปัญหาสังคมและต่อยอดความคิดและจินตนาการไปในมุมกว้าง เพื่อเกิดความเข้าใจและมีทัศนคติที่ดีต่อสังคมในระบอบประชาธิปไตย ด้วยตัวการ์ตูนที่ดูน่ารักลายเส้นเรียบง่ายสวยงาม เนื้อหาที่อ่านสนุก เข้าใจง่าย    แต่โดยภาพรวมไม่โดดเด่นเท่าเล่มที่ได้รางวัลชนะเลิศ คณะกรรมการจึงพิจารณาให้เป็นรองชนะเลิศอันดับ 1

บันทึกสี่เท้าจากหัวใจผู้ไร้บ้าน (ฉบับการ์ตูน)

หนังสือนิยายภาพเรื่อง “บันทึกสี่เท้าจากหัวใจผู้ไร้บ้าน” นั้นมีความโดดเด่นเป็นพิเศษ จากการสร้างสรรค์ผลงานที่เต็มไปด้วยจินตนาการ การสร้างตัวละครจากบทประพันธ์ได้เหมาะสม เล่าเรื่องด้วยภาพได้อย่างลื่นไหลสนุกสนานเร้าใจ การจัดภาพ วางองค์ประกอบและลงสีได้สวยงาม เป็นนิยายภาพที่สร้างบรรยากาศและอารมณ์ได้หลากหลาย เนื้อเรื่องแสดงให้ผู้อ่านได้รับรู้เรื่องราวอีกมุมหนึ่งของสังคม คือสังคมของคนและสุนัขและสังคมของสุนัขกับสุนัขด้วยกัน เนื้อเรื่องจะเล่าถึงความผันผวนของเหตุการณ์จากสภาวะจิตของคนและสุนัข ในเรื่องสะท้อนปัญหาสังคมในปัจจุบัน ที่คนทำกับสุนัขและคนด้วยกัน ซึ่งมีทั้งแง่โหดร้ายและแง่ความเอื้ออาทร ความรัก และคุณธรรม ระหว่างคนกับคนและคนกับสุนัข เนื้อเรื่องของนิยายภาพเล่มนี้ ผู้ประพันธ์ซึ่งเป็นผู้ที่มีความรู้ ความเข้าใจและให้หัวใจกับสุนัขที่เป็น “หมาไร้บ้าน” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาสังคมอยู่ในเวลานี้           ผู้ประพันธ์ได้สมมุติให้เรื่องนี้เป็นบันบันทึกประสบการณ์ชีวิตของสุนัขที่ชื่อ “ซีเปีย” ที่ครั้งหนึ่งได้พลัดพรากจากแม่และถูกคนเลี้ยงทอดทิ้งให้กลายเป็น “หมาไร้บ้าน” ต้องผจญกับความยากลำบากในเบื้องต้นของชีวิต แม้ชีวิตช่วงหลังจะมีผู้อุปการะเลี้ยงดู แต่ซีเปียก็ต้องผจญภัยกับปัญหาทั้งจากคนและสุนัขรอบๆ ตัวของมันเป็นเรื่องราวที่สนุกสนาน แนวผจญภัย  โลดโผนบวกกับเรื่องชีวิตเศร้าเคล้าน้ำตา อ่านแล้วเพลิดเพลินให้ความรู้สึกและแง่คิด ในบางช่วงบางตอนการกระทำของคนก็ส่งผลกระทบต่อชีวิตของสุนัขและในทางกลับกันพฤติกรรมและการกระทำของสุนัขก็มีผลเปลี่ยนแปลงชีวิตคนได้เช่นกัน หนังสือเล่มนี้เหมาะกับผู้อ่านทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะเยาวชนเป็นการปลูกจิตสำนึกในด้านการมีเมตตา และรับผิดชอบต่อชีวิตสัตว์และส่งผลต่อชีวิตคนในสังคมด้วย คณะกรรมการลงมติเอกฉันท์ให้หนังสือเรื่อง “บันทึกสี่เท้าจากหัวใจผู้ไร้บ้าน” ได้รับรางวัลชนะเลิศในปีนี้

ขบวนการหนังสติ๊ก ตอนผจญภัยในเมือง

“ขบวนการหนังสติ๊ก”  เป็นเรื่องราวการผจญภัยของเด็กชนบท 4 คนในช่วงปิดเทอม โดยเข้าไปใช้ชีวิตอยู่กับเพื่อนในเมือง ได้พบกับสิ่งแปลกใหม่รวมทั้งได้นำเอาภูมิปัญญาท้องถิ่นมาประยุกต์เพื่อการผลิตสินค้า เรียนรู้เรื่องการขาย เรื่องมิตรภาพ การอยู่ร่วมกัน ความเข้าใจมนุษย์ และยังมีการผจญภัยในเชิงสายลับนักสืบผสมผสานด้วย การดำเนินเรื่องสนุกสนานชวนติดตาม และให้วิธีคิดแก่เยาวชนเกี่ยวกับการใช้ชีวิตในแง่มุมต่าง ๆ

เรือนสีรุ้ง

“เรือนสีรุ้ง”  เป็นวรรณกรรมเยาวชนบอกเล่าเรื่องราวของสิ่งของในพิพิธภัณฑ์วัดท่าพูด อำเภอ สามพราน จังหวัดนครปฐม เป็นการเรียนรู้ของเด็กหญิงวัย 10 ขวบ ผ่านการบอกเล่าของครอบครัวและชุมชน มีการให้ความรู้เรื่องภูมิปัญญาท้องถิ่น แต่ไม่ทิ้งความบันเทิงในรูปแบบนวนิยาย มีปมเรื่องราวให้ติดตาม   มีอารมณ์สะเทือนใจพอสมควร โดยเรียงร้อยขึ้นจากเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นจริงในท้องถิ่น นับเป็นสาระนิยายที่สามารถนำไปใช้อ้างอิงบอกเล่าต่อในฐานะหน้าหนึ่งของ “ประวัติศาสตร์สามัญชน” ได้  

H20 ปรากฏการณ์แตกตัว ของน้ำบนแผ่นกระดาษ

“H2O ปรากฏการณ์แตกตัวของน้ำบนแผ่นกระดาษ” ของอนุสรณ์  ติปยานนท์  เป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นจำนวน 8 เรื่อง เนื้อหาหลักแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกตัวละครเอกจะหายสาบสูญไปจากสังคม ส่วนกลุ่มหลังตัวละครเอกจะแสวงหาความจริงหรือลุ่มหลงคลั่งไคล้บางสิ่งบางอย่างในชีวิต ผู้เขียนสร้างสรรค์เรื่องสั้นทั้งหมดขึ้น ด้วยแนวคิดที่แปลกใหม่ว่าน้ำแปรรูปอยู่ตลอดเวลาและมีอิทธิพลต่อชีวิตมนุษย์อย่างยิ่ง ทั้งวิจารณ์ชีวิตในแง่มุมที่ลึกซึ้งด้วยกลวิธีการดำเนินเรื่องที่ชวนติดตามและภาษาที่เร้าอารมณ์

บริษัทไทยไม่จำกัด

“บริษัทไทยไม่จำกัด” ของสนั่น  ชูสกุล  เป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นซึ่งสะท้อนสังคมชนบทที่กำลังถูกโอบล้อมและบีบรัดด้วยสิ่งต่าง ๆ จากสังคมยุคใหม่มากขึ้นทุกขณะ ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และวิชาการ โดยเฉพาะแง่มุมความขัดแย้งต่าง ๆ ซึ่งผู้แต่งได้หยิบยกมานำเสนอด้วยชั้นเชิงการเขียนที่มีชีวิตชีวา หรือน้ำเสียงเสียดสีอย่างมีอารมณ์ขัน ความน่าสนใจอีกประการหนึ่งของหนังสือรวมเรื่องสั้นชุดนี้คือการวิพากษ์ความขัดแย้งอันเนื่องจากการเมืองและสังคม  ที่เป็นปมปัญหาใหญ่ของประเทศในขณะนี้ ผ่านสัญลักษณ์บางอย่างที่เข้าใจง่ายด้วยท่วงทำนองเสียดสี   เย้ยหยันอย่างแยบคาย

1CM

“หนังสือรวมเรื่องสั้น 1CM” ของโอสธีมีเนื้อหาที่หลากหลายและกลวิธีนำเสนอที่แตกต่าง  บางเรื่องแม้จะมีเนื้อหาสะท้อนภาพสังคมปัจจุบันในด้านลบ เช่น เรื่องที่เกี่ยวกับการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนและพฤติกรรมของตำรวจ (เรื่องคดีข่มขืนนักเรียนคอนแวนต์) อิทธิพลของสื่อโฆษณา (เรื่องภูมิแพ้) ฯลฯ แต่ผู้แต่งมีกลวิธีการนำเสนอให้เรื่องดำเนินไปอย่างมีชั้นเชิงด้วยการขึ้นต้นเรื่องได้ดึงดูดใจชวนติดตาม และจบเรื่องได้ชวนคิดสะกิดใจ มีลีลาการเขียนที่ใช้สำนวนภาษาเสียดเย้ยด้วยอารมณ์ขัน ทำให้เรื่องที่มีเนื้อหาจริงจังดูมีสีสัน มีชีวิตชีวา แม้แต่ชื่อเรื่องบางเรื่องก็สามารถดึงดูดใจผู้อ่านได้แต่แรกเห็น เช่น ศีลห้ามาเนีย นักลาออกมืออาชีพ ฯลฯ หนังสือรวมเรื่องสั้น 1CM จึงน่าสนใจสำหรับผู้ต้องการอ่านเรื่องสั้นที่สนุกสนานและสร้างสรรค์

จากสายน้ำสู่นคร

“จากสายน้ำสู่นคร”  ของประกาศิต  คนไว  เป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นซึ่งสะท้อนภาพธรรมชาติและชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในสังคมชนบทที่ห่างไกล  หนังสือเรื่องนี้นอกจากให้ความรื่นรมย์แล้ว ยังมีสาระที่ก่อให้เกิดความเข้าใจพฤติกรรม ความคิด และปัญหาที่ชาวชนบทเผชิญ  เช่น ปัญหาเกี่ยวกับความยากจน ทำให้ต้องดิ้นรนต่อสู้เพื่อความอยู่รอด และเพื่อชีวิตที่ดีกว่า ปัญหาที่เกิดจากความเจริญทางวัตถุ ซึ่งนำความเสื่อมโทรมมาสู่ธรรมชาติ  ปัญหายาเสพติด การพนัน และการเอารัดเอาเปรียบกัน นอกจากนี้ เนื้อหายังกระตุ้นให้เกิดจิตสำนึกที่ดีงามในด้านความรัก ความกตัญญู ความเมตตา มิตรภาพ และการอนุรักษ์ธรรมชาติ ผู้แต่งนำเสนอเรื่องต่าง ๆ โดยผ่านชะตากรรมของตัวละครที่หลากหลาย ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ ชาย หญิง และสัตว์ได้อย่างชัดเจน สมจริง ชวนติดตามด้วยภาษาที่สละสลวย ง่าย และงดงาม

กบฏกรุงศรีอยุธยา

กรุงศรีอยุธยาเป็นอาณาจักรใหญ่ที่มีอำนาจยาวนานถึง 417 ปี แต่กรุงศรีอยุธยามิได้มีแต่ด้านที่รุ่งเรืองเฟื่องฟู หนังสือสารคดีเล่มนี้มุ่งนำเสนอประวัติศาสตร์กรุงศรีอยุธยา ในมุมมองของความขัดแย้งแตกแยก จนทำให้เกิดกรณี “กบฏ” ถึง 24 ครั้ง ใน 34 รัชกาล 5 ราชวงศ์แห่งกรุงศรีอยุธยา แม้จะเป็นงานค้นคว้าข้อมูลจากเอกสารมากกว่าการลงพื้นที่ แต่ผู้เขียนมีศิลปะในการกลั่นกรองข้อมูลมานำเสนออย่างน่าสนใจ ใช้ภาษาสำนวนเรียบง่าย ชวนติดตาม ชวนอ่านเอาเรื่องและอ่านเอาอรรถรส เพราะสาระของหนังสือไม่ใช่แค่เรื่องราวจากเอกสารชั้นต้นและชั้นรอง แต่ยังทำให้ผู้อ่านมองเห็นภาพกว้างของปัญหาความแตกแยกในสมัยกรุงศรีอยุธยา เป็นบทเรียนให้เราตระหนักว่า ศึกภายใน  อันเนื่องจากสามัคคีเภทของคนในชาตินั้น นำหายนะมาสู่ปิตุภูมิของเรา เสียยิ่งกว่าศึกภายนอกมากมายนัก

ย่านเก่าในกรุงเทพฯ (เล่ม 1)

สารคดีประวัติศาสตร์ชุมชนเกาะรัตนโกสินทร์ จากการค้นคว้าเอกสารและการลงพื้นที่ ทำให้เป็นข้อเขียนเชิงสารคดีที่ชวนอ่าน ด้วยการร้อยเรียงเรื่องราวอย่างมีศิลปะ ชวนติดตามตั้งแต่ต้นจนจบ แม้กลิ่นอายของงานเขียนอาจไม่เป็นสารคดีประวัติศาสตร์เต็มรูปแบบเสียทีเดียว และมีลักษณะคล้ายหนังสือ       “นำเที่ยว” แต่ผู้เขียนสอดแทรกข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์ลงไปอย่างเหมาะสม ที่สำคัญคือเป็นข้อมูลที่ได้จากการลงพื้นที่จริง และเป็นข้อมูลที่น่าสนใจของย่านเก่าแก่ในกรุงเทพฯ ที่ฟังชื่อแล้วรู้สึกคุ้นเคย แต่น้อยคนจะรู้ประวัติความเป็นมา ไล่เรียงตั้งแต่ย่านเก่ากลางเมืองหลวงอย่าง เสาชิงช้า ถนนดินสอ สี่แยกคอกวัว บางลำพู นางเลิ้ง ฯลฯ ไปจนถึงย่านชานเมือง อย่างบ้านปูน บ้านญวน บ้านครัว ทุ่งบางเขน ฯลฯ ซึ่งนอกจากจะสะท้อนให้เห็นสภาพสังคมที่แปรเปลี่ยนแล้ว หนังสือเล่มนี้ยังมีบทบาทกระตุ้นจิตสำนึกคนรุ่นใหม่ให้ภาคภูมิใจในภูมิปัญญาพื้นบ้าน วัฒนธรรมท้องถิ่นตน แล้วช่วยกันสืบสานด้านที่ดีงามให้ดำรงอยู่อย่างงดงามและสร้างสรรค์

หนังกวาง ไม้ฝาง ช้าง ของป่า การค้าอยุธยา สมัยพุทธ ศตวรรษที่ 22-23

ความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจการค้าเป็นปัจจัยเกื้อหนุนความยิ่งใหญ่ ของกรุงศรีอยุธยา ซึ่งเป็นทั้งอาณาจักรที่เรืองอำนาจ และยังเป็นเมืองท่านานาชาติที่มั่งคั่งในภูมิภาคอุษาคเนย์ (เอเชียตะวันออกเฉียงใต้) แต่สินค้าส่งออกของกรุงศรีอยุธยาคืออะไร ลักษณะการค้าขายในสมัยนั้นเป็นเช่นไร หนังสือเล่มนี้มุ่งนำเสนอกรุงศรีอยุธยาในฐานะเมืองท่าที่สัมพันธ์กับระบบการค้านานาชาติ และวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของผู้คนต่างชนชั้นในสังคมสยามที่มีระบบเศรษฐกิจการค้าเป็นสิ่งเชื่อมประสาน แม้จุดเริ่มต้นของหนังสือเล่มนี้จะเป็นงานวิชาการ แต่ผู้เขียนเรียบเรียงใหม่เป็นภาษาง่าย ๆ ได้อย่างน่าสนใจ และเปิดเผยข้อมูลประวัติศาสตร์การค้าสมัยกรุงศรีอยุธยาที่ไม่เคยค้นพบมาก่อน ข้อมูลที่บรรจุในหนังสือเล่มนี้ จึงมีคุณค่าอันควรแนะนำให้มีการอ่านในวงกว้าง

แว้งที่รัก

เรื่องราววันวานของเด็กไทยพุทธท่ามกลางผองเพื่อนมุสลิมในอำเภอแว้ง จังหวัดนราธิวาส แม้จะนำเสนอในรูปแบบ “วรรณกรรมเยาวชน” แต่มีเนื้อหาสาระเข้าข่ายงานสารคดีสะท้อนประวัติศาสตร์ชุมชนท้องถิ่น บอกเล่าการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข สันติ ความผูกพันระหว่างเพื่อนมนุษย์ โดยไม่มีปัญหาเรื่องความเชื่อทางศาสนามาเป็นอุปสรรคขัดขวาง ให้ความเพลิดเพลินในการอ่าน   ด้วยลีลาการเขียนคล้ายงานของนักเขียนเชิงสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา แต่นำมาเล่าใหม่ในรูปแบบผ่อนคลายคล้ายเรื่องแต่ง (พบได้ในงานของนักเขียนต่างประเทศหลายคน เช่น Annie Proulx หรือ Laura Engles Wilder) นับว่าหนังสือเล่มนี้บอกเล่าเรื่องราวของคนไทยในจังหวัดชายแดนใต้ ได้อย่างมีอรรถรส ชวนติดตาม จุดประกายความคิด และพัฒนาจิตสำนึกเชิงสมานฉันท์ ซึ่งมีความสำคัญยิ่งในสภาพสังคมไทยปัจจุบัน

ฉันรักกรุงเทพฯ ตอนสู่กรุงเทพ เมืองเก่า

สารคดีชีวิตอิงประวัติศาสตร์ชุมชนเกาะรัตนโกสินทร์ อันเกิดจากความอยากรู้อยากเห็นของผู้เขียน นำไปสู่การศึกษาค้นคว้าเอกสาร และลงสำรวจพื้นที่จริง  มานำเสนอด้วยภาษาสำนวนที่อ่านง่าย ได้อรรถรสเหมือนติดตามผู้เขียนลงไปในชุมชนนั้นด้วย เนื้อหาสาระโดยรวมสะท้อนให้ผู้อ่านตระหนักว่าสังคมไทยประกอบด้วยชาติพันธุ์อันหลากหลาย แม้กระทั่งในกรุงเทพมหานคร หนังสือให้รายละเอียดประวัติศาสตร์ของกรุงเทพฯ ผ่านชีวิตบุคคล แม่น้ำลำคลอง สถาปัตยกรรม ฯลฯ ในยุคสมัยที่น่าจะ “ขาดตอน” ทางประวัติศาสตร์ คือยุคราว 50-60 ปีก่อน ซึ่งยังไม่ถือว่าเก่ามากจนนักประวัติศาสตร์สนใจ แต่ก็ไม่ใหม่มากจนร่วมสมัย การบันทึกและค้นคว้าของผู้เขียนจึงนับว่ามีประโยชน์อย่างสูง ทั้งการให้รายละเอียดในเชิงวิชาการ และความเพลินเพลินในการอ่าน อันจะมีบทบาทจุดประกายความคิดให้ผู้อ่าน โดยเฉพาะอนุชนรุ่นหลังหันมาสนใจศึกษาเรียนรู้รากเหง้าของตนเอง

กระเบื้องถ้วยกะลาแตก

หนังสือเล่มนี้บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับตระกูลของผู้เขียน คือตระกูล “พิศาลบุตร” ทว่าต้นตระกูลนี้เป็นผู้นำเครื่องลายครามเข้ามาขายในกรุงสยาม และเป็นผู้ทรงอิทธิพลในวงการค้าสำเภาสมัยรัชกาลที่ 4 เรื่องของตระกูลหนึ่งจึงกลายเป็นสารคดีสะท้อนประวัติศาสตร์การค้าสำเภา และประวัติความสัมพันธ์จีนกับกรุงสยาม สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นได้เป็นอย่างดี โดยใช้กลวิธีเล่าผ่านเครื่องลายครามอย่างมีศิลปะ ชวนอ่านด้วยภาษาสำนวนและชั้นเชิงทางวรรณศิลป์ ทั้งยังมีกระบวนการเก็บและค้นคว้าข้อมูลที่น่าเชื่อถือ อ่านแล้วจุดประกายความคิด และพัฒนาสำนึกเชิงสร้างสรรค์ แม้หัวข้อที่นำเสนอเกี่ยวกับเครื่องลายคราม ดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กของนักสะสมของโบราณ แต่ผู้เขียนกลับสะท้อนภาพประวัติศาสตร์ใหญ่ของสังคมไทยที่เกี่ยวพันกับประเทศอื่น ๆ เช่น จีน ยุโรป ที่เกี่ยวข้องกับเครื่องลายครามในอดีตได้อย่างเพลิดเพลิน สนุกสนาน และยังจัดทำภาพประกอบอย่างพิถีพิถัน หาดูได้ยาก ทำให้เป็นหนังสือสารคดีที่ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์เล่มหนึ่ง

ไม่ขอรับเกียรติยศใดๆ ทั้งสิ้น

เป็นหนังสือบอกเล่าชีวิตที่ยืนนานถึงกว่า 95 ปี ของท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ที่ได้ประสบรู้เห็น รู้สึก และผจญกรรมต่อเนื่องยาวนาน อันเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์การเมืองไทยสมัยหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ซึ่งได้แสดงให้เห็นถึงความซื่อสัตย์ ความรู้ ความสามารถ ความอดทน และความเสียสละ เพื่อบ้านเมืองของท่านผู้หญิง ที่สมควรได้รับความเคารพนับถือและยกย่องของอนุชนไทยรุ่นหลังเป็นอย่างมาก ที่สำคัญคือยังสะท้อนแนวคิดเรื่องความเท่าเทียมกันระหว่างมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ ความรักชาติ รักอธิปไตย และการต่อสู้เพื่อความถูกต้องดีงาม ผู้เขียนใช้เวลาทั้งชีวิตเล่าเรื่องตัวเองที่สัมพันธ์กับประวัติศาสตร์การเมืองในช่วงเวลานั้นได้อย่างน่าสนใจ ตื่นเต้น และมีชีวิตชีวา เหนือสิ่งอื่นใดเป็นการเปิดเผยข้อเท็จจริงที่เป็นบทเรียนทางประวัติศาสตร์ ซึ่งผู้เขียนได้สัมผัสด้วยตนเอง ยากที่คนอื่นจะได้มีโอกาสเจอ จึงแม้ว่าจะเป็นหนังสือประวัติส่วนบุคคล แต่เป็นบุคคลที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์การเมืองไทยสมัยหนึ่ง อัตชีวิตประวัติของท่านผู้หญิงจึงสะท้อนภาพการเมืองไทยได้อย่างน่าสนใจ โดยใช้ภาษาสำนวนที่กระชับ เรียบง่าย ตรงไปตรงมา อันเป็นความงดงามทางวรรณศิลป์อย่างหนึ่งที่ชวนให้อ่านตั้งแต่ต้นจนจบ นับเป็นบันทึกที่มีค่าเชิงประวัติศาสตร์อย่างหาอะไรมาแทนได้ยาก

ตามรอยนเรศวรมหาราช จากเวียงจันทน์สู่เวียงแหง นอกกรอบประวัติศาสตร์ชาตินิยม

เป็นหนังสือสารคดีเชิงประวัติศาสตร์ที่เสนอแนวคิดใหม่ด้วยวิธีการศึกษาค้นคว้าใหม่ ทำให้ได้มาตรฐานทางวิชาการประวัติศาสตร์อันทันสมัยระดับสากล ซึ่งกว้างขวางและลึกซึ้งกว่าประวัติศาสตร์แบบที่ต้องการให้รักชาติอย่างคับแคบ ก่อให้เกิดความตื่นตัวในการศึกษาประวัติศาสตร์ในฐานะที่เป็นศาสตร์แขนงหนึ่งของ “วิทยาศาสตร์สังคม” ไม่ใช่ในฐานะตำนาน หรือเครื่องมือเสริมส่ง “ชาตินิยม” เท่านั้น แม้จะเป็นสารคดีอิงพระราชประวัติของพระมหากษัตริย์พระองค์เดียว คือสมเด็จพระนเรศวรมหาราช แต่สามารถสะท้อนประวัติศาสตร์ไทยสมัยกรุงศรีอยุธยา และความสัมพันธ์กับอาณาจักรรอบข้างได้เป็นอย่างดี โดยมีกระบวนการค้นคว้าข้อมูลทั้งจากเอกสารชั้นต้นจากการสัมภาษณ์บุคคล และจากการลงพื้นที่จริงในประเทศไทยและสหภาพพม่า มานำเสนอด้วยภาษาสำนวนชวนอ่าน เข้าใจง่าย มีลีลาการร้อยเรียงเชิงวรรณศิลป์ มีการอ้างอิงหลักฐานจูงใจให้น่าเชื่อถืออย่างเหมาะควรกับสารคดี ไม่มากจนกลายเป็นหนังสือตำราที่น่าสนใจสำหรับนักวิชาการเท่านั้น ทั้งยังมีการศึกษาสภาพภูมิศาสตร์ ณ สถานที่จริงในประวัติศาสตร์มาอ้างอิงให้หนักแน่นยิ่งขึ้น การเป็นสารคดีที่นำเสนอแนวคิดใหม่ในเชิงประวัติศาสตร์ ทำให้ผู้อ่านที่ไม่มีพื้นฐานมาก่อน อาจต้องทำความเข้าใจ และอ่านหนังสือเล่มอื่น ๆ เพิ่มเติม ซึ่งสารคดีเล่มนี้ก็ทำหน้าที่แนะนำหนังสือที่ควรอ่านประกอบด้วยอย่างรอบด้าน  ก่อให้เกิดบรรยากาศการศึกษาประวัติศาสตร์ใหม่ในเชิงสร้างสรรค์

มหาสมุทรสุดลึกล้นฯ

‘มหาสมุทรสุดลึกล้นฯ’ ของ ‘สีฟ้า’ เป็นนวนิยายที่สะท้อนภาพเมืองไทยในยุคปัจจุบัน ทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม วิถีชีวิต ความเชื่อ ตลอดจนคตินิยม ของผู้คนทั้งในเมืองและชนบท ทั้งผู้ที่ทำหน้าที่ในการปกครองท้องถิ่นหรือประเทศชาติกับราษฎรที่อยู่ภายใต้การปกครองดังกล่าว ‘มหาสมุทรสุดลึกล้นฯ’ เป็นนวนิยายแนวอุดมคติซึ่งให้ข้อคิดและมุมมองอันทรงคุณค่า ขณะเดียวกันก็เป็นกำลังใจแก่ผู้ที่เสียสละผลประโยชน์และความสุขส่วนตนเพื่อธำรงไว้ซึ่งอุดมการณ์และความถูกต้อง รวมทั้งย้ำเตือนให้ตระหนักว่าจิตของมนุษย์นั้น แม้จะเป็นคนที่ใกล้ชิดหรือสนิทสนมกันเพียงไรก็ยังยากจะหยั่งถึง

ร้านหัวมุม

นวนิยายเรื่องนี้ เป็นเรื่องราวของผู้หญิงสาวที่ดำเนินธุรกิจร้านขายเบเกอรี่เล็ก ๆ ซึ่งต้องต่อสู้กับการแข่งขันกับธุรกิจข้ามชาติขนาดใหญ่ ด้วยความมุ่งมั่นทำให้เธอฝ่าฟันอุปสรรคทางธุรกิจไปได้  นอกจากนี้     ยังเป็นนวนิยายอ่านสนุก ด้วยเรื่องราวความรักของตัวละครเอก ผู้ประพันธ์มีความสามารถในการใช้ภาษาที่ละเมียดละไม มีอารมณ์ขัน สามารถทำให้ผู้อ่านเพลิดเพลินไปได้ตลอดทั้งเรื่อง

นวัต-กรรม 4.0

นวัต-กรรม 4.0 เป็นนวนิยายสะท้อนภาพสังคมสมัยใหม่ที่วิทยาการและเทคโนโลยีล้ำยุคเข้ามามีบทบาทกำหนดวิถีการดำเนินชีวิตของคนในสังคม ข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์รวมทั้งอุปกรณ์ประกอบที่ช่วยให้การค้นหาข้อมูลข่าวสาร การติดต่อสื่อสาร และการแสวงหาความบันเทิงหลากหลายรูปแบบเป็นไปได้อย่างง่ายดายและกว้างขวาง  โทรศัพท์มือถือที่มีคุณสมบัติและหน้าที่การใช้งานเท่าเทียมกับคอมพิวเตอร์เครื่องเล็ก ๆ  เครื่องหาตำแหน่งที่ตั้งด้วยดาวเทียมหรือจีพีเอส แม้กระทั่งความก้าวหน้าทางการแพทย์ที่ไม่เพียงสามารถรักษาโรคภัยต่าง ๆ แต่ยังสามารถเปลี่ยนแปลงเพศของมนุษย์ได้อีกด้วย  สิ่งเหล่านี้ ในด้านหนึ่งย่อมช่วยให้คุณภาพชีวิตของผู้ที่เข้าถึงได้สะดวกสบายและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน ก็ส่งผลให้คนต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตของตนไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น ชัยกร หาญไฟฟ้า นำชีวิตของคนที่เชื่อและใช้ประโยชน์ของเทคโนโลยีดังกล่าวมาสนองความต้องการและแก้ปัญหาในชีวิตของตนในรูปแบบต่าง ๆ มาผูกเป็นเรื่องราว  โดยเริ่มจากภาพที่ดูกระจัดกระจาย แล้วค่อย ๆ เลื่อนเข้ามาสัมพันธ์กัน คล้ายกับการต่อภาพจิ๊กซอว์ จนนำไปสู่จุดสุดท้ายของเรื่อง ทำให้ผู้อ่านได้ภาพที่สมบูรณ์ของนวนิยายเรื่องนี้ในที่สุด    ผู้เขียนใช้วิธีการเล่าเรื่องผ่านประสบการณ์และความคิดของตัวละครหลักที่ต่างก็มีแนวทางการดำเนินชีวิต ปมปัญหา และวิธีแก้ปัญหาต่างกันไป                  ตัวละครทุกตัว รวมทั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นล้วนเป็นคนและเรื่องธรรมดาสามัญที่เราอาจพบเจอได้เสมอในสังคมปัจจุบัน  แต่เมื่อนำมาเรียงร้อยอยู่ในรูปนวนิยาย ชัยกร หาญไฟฟ้าก็ทำให้ผู้อ่านตระหนักถึงแง่มุมและหลุมพรางบางประการของเทคโนโลยีสมัยใหม่  ซึ่งจะทำให้เราก้าวไปข้างหน้า นวัต-กรรม 4.0 จึงไม่เป็นเพียงนวนิยายที่อ่านสนุกเท่านั้น แต่ยังทำให้เราฉุกคิดและตั้งคำถามกับหลายสิ่งหลายอย่างที่เราประสบอยู่ทุกวันนี้ด้วย

ตะวันเบิกฟ้า

ตะวันเบิกฟ้า  บทประพันธ์ของปิยะพร  ศักดิ์เกษม  เป็นเรื่องราวของชีวิตในครอบครัวใหญ่ที่ฉายภาพของสังคมไทยในช่วง พ.ศ. 2498 ถึงราว พ.ศ.2506  อันเป็นช่วงเหตุการณ์ที่สังคมไทยเพิ่งผ่านพ้นสงครามโลกครั้งที่สองมา ความผันผวนของเหตุการณ์ในสังคมไทยขณะนั้นได้ส่งผลกระทบต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของคนไทยโดยส่วนรวม  แต่ทว่าครอบครัวใหญ่ซึ่งมีประมุขของครอบครัวเป็นคนเด็ดขาด  เรียบง่าย วางชีวิตของทุกคนในครอบครัวให้ดำรงอยู่ได้ด้วยระเบียบของศีลธรรมจรรยา อีกทั้งยังแก้ไขปัญหาของครอบครัวอย่างใช้สติปัญญา จึงประคับประคองให้ชีวิตของทุกคนในครอบครัวดำเนินไปด้วยความผาสุก  แต่กระนั้นผู้ประพันธ์ก็ชี้ให้เห็นว่าคนในครอบครัวเดียวกัน ก็มิได้มีความคิดและแนวทางในการดำเนินชีวิตในทางเดียวกัน  ผู้ประพันธ์ได้สร้างตัวละครที่เป็นคู่เปรียบเทียบอันแสดงให้เห็นถึงฝ่ายที่ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและมีสติ  กับอีกฝ่ายที่ดำเนินชีวิตอยู่ในความลุ่มหลง  ปล่อยให้โมหะและโทสะเข้าครอบงำ จนกระทั่งต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในที่สุด นวนิยายเรื่องตะวันเบิกฟ้า  จึงเป็นนวนิยายที่ชี้ให้เห็นถึงปรัชญาการดำเนินชีวิตในทางที่ถูกที่ควร และเป็นนวนิยายที่แสดงให้เห็นว่าชีวิตมนุษย์ล้วนตกอยู่ภายใต้เงื่อนไขของครอบครัว  ความรัก  สังคม  เครือญาติ  และแม้กระทั่งจิตใจตนเอง  ปัจจัยเหล่านี้ทำให้มนุษย์ตกอยู่ภายใต้ชะตากรรมบางอย่าง  มนุษย์จึงจะต้องใช้ชีวิตอย่างมีสติและมีปัญญา จุดเด่นของนวนิยายเรื่องนี้คือกลการประพันธ์ซึ่งเสนอให้เห็นถึงวิธีการเล่าเรื่องที่ค่อย ๆ เปิดเผยบุคลิกลักษณะของตัวละครให้ผู้อ่านได้ทราบและติดตาม โดยการใช้ลีลาภาษาที่เปี่ยมไปด้วยวรรณศิลป์  เป็นภาษาเก็บละเอียดทำให้ผู้อ่านเห็นภาพตามที่ผู้ประพันธ์ต้องการสื่อออกมา และยังนำเรื่องราวในอดีตอันเป็นรายละเอียดของฉากในเรื่องมาสอดแทรกไว้ได้อย่างเหมาะเจาะลงตัว นวนิยายเรื่องตะวันเบิกฟ้า จึงเป็นนวนิยายที่มีแง่งามทั้งทางด้านวรรณศิลป์  เป็นนวนิยายที่เสนอให้เห็นมุมมองเกี่ยวกับชีวิตอันจะเป็นแบบอย่างให้แก่ผู้อ่านได้ และยังเป็นนวนิยายที่มีคุณค่าในฐานะบันทึกประวัติศาสตร์สังคมได้อย่างมีชีวิตชีวาอีกด้วย

ลับแล, แก่งคอย

ลับแล,แก่งคอย  นวนิยายของอุทิศ  เหมะมูล  เป็นเรื่องราวของเด็กหนุ่มวัยรุ่นที่พยายามขัดขืนกรอบชีวิตตามแนวทางเข้มงวดที่พ่อกำหนดให้   การหมกมุ่นอยู่กับความสูญเสียและความผิดหวังในชีวิตทำให้ตัวละครสร้างโลกจินตนาการเพื่อลวงตัวเองและลวงคนอื่น   เขามีความสุขกับโลกลวงที่ทำให้สามารถกล่าวโทษคนอื่นได้สะใจ   ทั้งพ่อผู้มีอัตตาสูง  และแม่ผู้อ่อนแอ  รวมทั้งแฝงตัวเป็นคนอื่นเพื่อปฏิเสธความเลวร้ายต่าง ๆ ที่ตนเองกระทำ   ชีวิตอันสับสนของตัวละครคลี่คลายลงได้ก็ด้วยการมีสติ  คือ ความรู้ตัว  และปัญญา  คือ ความรู้ทั่ว  ทำให้ได้คิดอย่างมีเหตุมีผล  ไม่งมงาย  เพื่อยืนหยัดและยืนยันตัวตนแท้จริง นวนิยายเรื่องนี้ใช้กลวิธีการเล่าเรื่องสลับตัดฉากไปมาระหว่างอดีตกับปัจจุบัน และจงใจให้รายละเอียดของเรื่องราวต่าง ๆ มาก  เหมือนกับจะแสดงให้เห็นว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับบุคคลหนึ่งมีผลสะเทือนถึงคนอื่น ๆ และสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตมีผลสะท้อนถึงปัจจุบัน   แม้ผู้เขียนจะเล่าเรื่องผ่านมุมมองของตัวละครเอก ซึ่งน่าจะทำให้ผู้อ่านคล้อยตามความคิดของตัวละครนั้น  แต่ในขณะเดียวกันผู้เขียนมีชั้นเชิงความสามารถที่ทำให้ผู้อ่านเข้าใจพฤติกรรมและอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครอื่น ๆ ในแง่มุมที่แตกต่างไป  ตัวละครในเรื่องจึงมีมิติลึกและซับซ้อนเช่นเดียวกับมนุษย์จริง  การแสดงให้เห็นว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือเรื่องใดเรื่องหนึ่งมีหลายมุมมองยังมีแทรกอยู่อีกหลายเรื่องหลายเหตุการณ์  รวมทั้งการที่ตัวละครผ่านพ้นวิกฤติชีวิตมาได้  แต่จะด้วยจิตบำบัด  ความเชื่อไสยศาสตร์  หรือหลักธรรมทางพุทธศาสนาก็แล้วแต่จะมองจากมุมของใคร  นอกจากนี้  ในระหว่างเรื่องเล่าของตัวละครเอก  นวนิยายเรื่องนี้ยังบอกเล่าถึงความเคลื่อนไหวของสังคมไทยรวมทั้งความไม่เที่ยงแท้แน่นอนของสรรพสิ่ง  และความเปราะบางของความสัมพันธ์ของมนุษย์  ที่อาจแตกหักลงง่าย ๆ เพียงเพราะยึดมั่นอยู่ในความคิดและวิถีทางของตนเอง นวนิยายเรื่องนี้มีเสน่ห์ทางวรรณศิลป์ที่การสร้างความคลุมเครือให้แก่ตัวละครและเหตุการณ์อยู่ตลอดทั้งเรื่อง  กล่าวได้ว่าผู้เขียนจงใจเล่นกับความจริงและความลวง   เพื่อแสดงให้เราเห็นว่าเมื่อสกัด            สิ่งลวงต่าง ๆ ในชีวิตออกไปแล้ว  ความจริงของชีวิตคือความงดงาม   เฉกเช่นประติมากรที่สกัดส่วนเกินบนแท่งหินอ่อน  เพื่อให้ได้รูปแกะสลักที่งดงามที่สุด

หนทางและที่พักพิง พืชพันธุ์แห่งพุทธะในท้องทุ่ง มโนทัศน์กวีนิพนธ์

“หนทางและที่พักพิง” ของอังคาร จันทาทิพย์ ถือเป็น ‘พืชพันธุ์แห่งพุทธะในท้องทุ่งมโนทัศน์กวีนิพนธ์’ ดังที่นิยามไว้บนปก จริงอยู่…การเขียนเรื่องราวพุทธประวัติ ไม่ใช่เรื่องใหม่ ใคร ๆ เขาทำมานักต่อนักแล้ว ถึงกระนั้นการนำเรื่องเก่าโบราณกาลมาทำซ้ำแบบไม่ให้ซ้ำคนอื่นนับเป็นเรื่องยากและท้าทาย แต่กวีผู้นี้ทำได้ดีอย่างน่าชื่นชม โดยใช้ชั้นเชิงกวีมานำเสนอในมุมมองใหม่ ๆ อย่างมีวรรณศิลป์ และมีเสน่ห์ ที่สำคัญผู้เขียนมีความช่ำชองในจังหวะจะโคนของโคลง กลอน ทำให้ผู้อ่านได้อรรถรสและความรู้ควบคู่กันไป

โลกกลางแสงแดด

“โลกกลางแสงแดด”  ของโกสินทร์  ขาวงาม ว่าด้วยความธรรมดาของชีวิต สังเกตสังกาชีวิตผู้คน และความเป็นไปของสังคม รวมทั้งการหวนหาอดีต และความรักความผูกพันของสมาชิกในครอบครัว เล่มนี้แบ่งเนื้อหาเป็น 5 ส่วน ได้แก่ ภาค 1 โลกและรวงรัง  ภาค 2 รูปวาดของเรา  ภาค 3 ฤดูเทศกาล  ภาค 4 ทิวทัศน์ของอารมณ์  และภาค 5 ใบหน้าประเทศ ด้านกลวิธี ผู้เขียนนำเสนอคล้ายกับว่าศิลปินมาเขียนเป็นรูปกวี บางครั้งอารมณ์ไม่ปะติดปะต่อ บางครั้งเหมือนรอยแดด ‘อ่อนโยน’ บางขณะอารมณ์ ‘จัดจ้า’ แต่ดูเป็นอิสระดี สิ่งเหล่านี้ดูเหมือนเป็นความจงใจผู้เขียนเอง