กรองและค้นหา

เซเว่นบุ๊คอวอร์ด ครั้งที่ 12

เซเว่นบุ๊คอวอร์ด ครั้งที่ 12

บรรทัดสุดท้ายในฤดูกานต์

ต้นฉบับรวมบทกวีระดับเยาวชนชุด “บรรทุดสุดท้ายในฤดูกานต์” ของ ชาตรี ตราชู นำเสนอในรูปแบบฉันทลักษณ์กลอนสุภาพ ผู้เขียนแบ่งเนื้อหาเป็น 3 ช่วง คือ คิมหันต์ วัสสาน และเหมันต์ แต่ละชิ้นงานไม่ได้เป็นเรื่องเดียวกัน เขียนต่างกรรมต่างวาระ แต่เนื้อหาได้เชื่อมโยงเรื่องราววิถีชีวิตผู้คนเล็ก ๆ กับธรรมชาติแห่งฤดูกาลที่จัดหมวดหมู่ไว้ได้ค่อนข้างกลมกลืน นับเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของกวีนิพนธ์ชุดนี้ ด้านฝีมือ ถือว่ามีชั้นเชิงวรรณศิลป์ใช้ได้ทีเดียว ทั้งในแง่ทักษะสำนวนภาษาที่ผู้เขียนเลือกใช้อย่างเหมาะสมสอดคล้องกับเนื้อหา โดยให้ความสำคัญกับฉันทลักษณ์ควบคู่กันไป  แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่ผู้เขียนยังอยู่ระดัยเยาวชน ในเรื่องคำและความหมายที่กลมกลืนซึ่งเป็นจุดเด่นนั้น เมื่อดูภาพรวมทั้งชุดอาจจะมีจุดบกพร่องบ้าง แต่ก็เป็นจุดเล็ก ๆ สามารถแก้ไขปรับปรุงและพัฒนาฝีมือให้ดียิ่งขึ้น ๆ ได้ไม่ยาก ด้วยเหตุผลดังที่กล่าวมา คณะกรรมการจึงมีมติให้กวีนิพนธ์ชุด “บรรทุดสุดท้ายในฤดูกานต์” สมควรได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ประเภท “รางวัลนักเขียนรุ่นเยาว์” หมวดกวีนิพนธ์

เอ๊ะ! เจแปน Exclusive scoop on Japanese

ผู้เขียนพาไปรู้จักคนญี่ปุ่นอย่างลึกซึ้ง โดยผ่านความเรียงเชิงลึกที่ได้มาจากประสบการณ์จริงว่าด้วยคนหลากประเภทในญี่ปุ่น แต่ละกลุ่มมีชื่อและอัตลักษณ์ไม่เหมือนกัน ยากที่คนไทยทั่วไปผู้ไม่ได้ไปสัมผัสญี่ปุ่นอย่างลึกซึ้งจะมองเห็นและเข้าใจ นำเสนอผ่านสำนวนภาษาเป็นกันเองและสนุก ทว่าเต็มไปด้วยข้อมูลที่น่าทึ่ง  

สาวเครือฟ้าศตวรรษที่ 21

เรื่องราวของผู้หญิงเหนือยุคใหม่ นำเสนอมุมมองเรื่องเพศ วิถีคิด วัฒนธรรมรวมถึงฮีตบ้านฮีตเมืองของสังคมชนบทภาคเหนือ ผู้เขียนให้รายละเอียดหลายเรื่องที่แตกต่างไปจากความเชื่อโดยทั่วไป โดยวิเคราะห์ให้เห็นพื้นฐานความคิดของผู้หญิงเหนือจากขนบธรรมเนียม ประเพณี และวัฒนธรรม ผู้อ่านจึงเข้าใจผู้หญิงเหนือได้อย่างชัดเจนขึ้น

สัมพันธ์สยามในนามภารต บทบาทของรพินทรนาถ ฐากูร สวามีสัตยานันทปุรี และ สุภาส จันทร โบส ในสายสัมพันธ์ไทย-อินเดีย

เป็นหนังสือที่ให้แง่มุมใหม่ ๆ จากการค้นคว้าเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างราชอาณาจักรสยามกับอินเดีย โดยผ่านบุคคลสำคัญที่เข้ามามีบทบาทในไทยช่วงต้นศตวรรษที่ 20 นำเสนอเนื้อหาที่ให้สาระความรู้ ความคิด ปรัชญามนุษยนิยม ความเป็นสากล ความเท่าเทียม และการต่อสู้เพื่ออิสรภาพ นำเสนอผ่านภาษาที่เรียบง่ายแต่น่าเชื่อถือ

ควันไฟและสายรุ้ง

สารคดีจากชีวิตจริงของผู้เขียน ถือเป็นบทเรียนด้านกลับแฝงอุทาหรณ์อันทรงคุณค่า ด้วยเนื้อหาว่าด้วยความทุกข์ในชีวิตของผู้เขียนยามเข้าไปข้องเกี่ยวกับยาเสพติด เปิดเปลื้องให้เห็นทุกแง่มุมที่อาจเกิดขึ้นได้เนื่องจากความพลั้งเผลออย่างทะลุปรุโปร่งด้วยสำนวนภาษาสละสลวยและกลวิธีการเขียนชวนติดตาม นำไปสู่ทางออกและการแก้ไขความผิดพลาดของชีวิต

๕๐๐-ล้านปีของความรัก

ผู้เขียนค้นคว้าย้อนรอยกลับสู่ความรักของมนุษย์ในหลากหลายแง่มุม โดยนำหลักการของการทดลอง และข้อมูลทางวิทยาศาสตร์มานำเสนอ ทำให้เห็นว่า ความรักของมนุษย์ที่เรามักเห็นว่าเป็นเพียงอารมณ์ความรู้สึกนั้น มีจุดกำเนิดและเกี่ยวพันกับวิวัฒนาการอันยาวนานถึง 500 ล้านปี ได้อย่างไร

วิถีดาบ วิถีเซน

  นำเสนอการเจริญสติแบบเถรวาทด้วยวิธีการแปลกใหม่และมีผู้กล่าวถึงน้อยนั้นคือผ่านการฝึกดาบของลัทธิเซนในญี่ปุ่น ผู้เขียนนำประสบการ์ตรงของตนเอง ผ่านการฝึกฝนและทดลอง มานำเสนอด้วยภาษาสำนวนที่เรียบง่ายและหมดจด ทว่าตื่นเต้นเร้าใจในเนื้อหา เป็นหนังสือที่ส่งเสริมการเจริญสติผ่านการเคลื่อนไหว โน้มนำให้มนุษย์ที่สมบูรณ์มีใจสูง และข่วยกันสร้างโลกที่มีสันติสุข “วิถีดาบ วิถีเซน” ของ ณัชร สยามวาลา จึงสมควรได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ประเภทสารคดี ประจำปี 2558  

เรื่องเล่าจากยอดภูเขาน้ำแข็ง

เนื้อเรื่องมีประโยชน์ให้สาระความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับโรคซึมเศร้า โดยถ่ายทอดจากชีวิตของผู้เขียนได้อย่างลึกซึ้ง ผู้เขียนรับมือกับอาการป่วยได้อย่างเข้มแข็งและกล้าหาญนานกว่า 7 ปี  โดยเปิดเผยรายละเอียดของชีวิตที่ต้องอยู่กับโรคซึมเศร้าทุกแง่มุม นอกจากสะเทือนใจในเนื้อหาและกลวิธีการเขียน รวมทั้งพาผู้อ่านเข้าสู่โลกอันเยียบเย็นและเหงาเงียบที่ผู้อื่นไม่กล้าเปิดเผยแล้ว ผู้อ่านยังได้รับรู้ถึงขั้นตอนการรักษาโดยละเอียด อันเป็นการชี้ทางออกจากโลกเยียบเย็นใบนั้นอย่างชัดเจนและมีชีวิตชีวาด้วย “เรื่องเล่าจากยอดภูเขาน้ำแข็ง” ของ ดาวเดียวดาย จึงสมควรได้รับรางวัลชนะเลิศประเภทสารคดีในปีนี้

เส้นทางสู่ฝัน ม.ปลายสายมังงะ

หนังสือเล่มนี้เป็นผลงานเขียนเรื่องและภาพ ของ หมอก (ธมนธร อมรธีรสรรค์) เยาวชนอายุ 19 ปี ซึ่งไปเรียนระดับมัธยมปลายที่ประเทศญี่ปุ่น เพราะอยากเรียนการเขียนการ์ตูน เนื้อเรื่องเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง และเป็นประสบการณ์ตรงของผู้เขียน จึงไม่ใช่วรรณกรรมสำหรับเยาวชนตามหลักเกณฑ์การประกวดของรางวัลนี้ แต่เนื่องจากเนื้อหาและภาพประกอบของ  “เส้นทางสู่ฝัน ม.ปลายสายมังงะ” มีความงดงามทั้งภาษาเขียนและภาษาภาพ สร้างแรงบันดาลใจให้กับเยาวชนที่มีความฝันอยากเป็นนักเขียนการ์ตูนและทำแอนิเมชั่น (Animation) ให้สามารถเดินตามความฝันได้ ผู้อ่านจะสนุกสนานเพลิดเพลินไปกับเรื่องเล่าที่มีภาพประกอบและภาพการ์ตูนในเรื่อง สำหรับผู้ที่อยากเป็นนักเขียนการ์ตูนจะได้รับทราบข้อมูลการเรียนสาขานี้ในประเทศญี่ปุ่น รวมทั้งได้เห็นตัวอย่างของความมั่นมั่นต่อการเรียนของผู้เขียนด้วย    

เจ้าเอย…เจ้ากรงหัวจุก

  เจ้าเอย…เจ้ากรงหัวจุก ของ ชิด ชยากร เป็นวรรณกรรมสำหรับเยาวชนที่ผู้เขียนมุ่งหมายจะเปิดโลกทัศน์ให้เด็กและเยาวชนได้ตระหนักถึงความมีชีวิตอยู่ของสัตว์โลกชนิดอื่น ๆ นอกเหนือไปจากสัตว์โลกที่เรียกตนเองว่ามนุษย์ ผ่านโครงเรื่องที่จินตนาการขึ้นจากมุมมองของเจ้าบุญรอด นกกรงหัวจุกที่มีวิธีคิดแบบมนุษย์ บุญรอด นกกรงหัวจุกที่รอดตายจากพายุร้าย แม้จะหนีไปสร้างรังอยู่ห่างไกลถึงชายป่า ก็ยังไม่พ้นจากเงื้อมมือมนุษย์ที่หวังเพียงประโยชน์จากเสียงร้องตามธรรมชาติของนก ทำให้บุญรอดต้องสูญเสียอิสรภาพและพลัดพรากจากครอบครัวด้วยความรู้ไม่เท่าทันเล่ห์กลมนุษย์ ผู้เขียนเล่าเรื่องให้เห็นภาพอย่างชัดเจน ทำให้ผู้อ่านสะเทือนใจจากการรับรู้ถึงความทุกข์ทรมานของสัตว์ที่ถูกกักขัง การดิ้นรนต่อสู้เพื่อความเป็นอิสระ การสร้างความมีเมตตาให้เกิดขึ้นในใจผู้อ่าน ที่คอยเอาใจช่วยเจ้าบุญรอดให้รอดพ้นจากที่กักขัง และด้วยพลังแห่งความรัก ความสามัคคีของเหล่านกกรงหัวจุกที่กล้าหาญ อดทน ทำให้บุญรอดและผองเพื่อนรอดพ้นภัยมาได้ เนื้อหาของเรื่อง “เจ้าเอย…เจ้ากรงหัวจุก” น่าตื่นเต้นชวนให้ติดตามโดยตลอดผู้เขียนมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องการเลี้ยงนกกรงหัวจุกเป็นอย่างดี กอปรกับการใช้ภาษาที่ประณีตสละสลวย ข้อคิดเกี่ยวกับความเมตตา และความรักอิสรภาพของทุกชีวิตที่ผู้อ่านจะได้รับ ทำให้วรรณกรรมสำหรับเยาวชนเรื่องนี้ สมควรได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2

โลกสวยที่น้ำใส

โลกสวยที่น้ำใส เป็นวรรณกรรมสำหรับเยาวชนสะท้อนปัญหาความขัดแย้งจากการสร้างท่าอากาศยานขนาดเล็กสำหรับเฮลิคอปเตอร์ ซึ่งเป็นความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในท้องถิ่นชนบทที่มีความเงียบสงบมาช้านาน แม้งานนี้จะนำความเจริญทางเศรษฐกิจและการคมนาคมมาสู่ชุมชน แต่ต้องแลกกับการสูญเสียความงดงามของธรรมชาติและความสมดุลของระบบนิเวศของพื้นที่แหล่งชุ่มน้ำแห่งหมู่บ้านน้ำใส ท้องถิ่นชายทะเลในจังหวัดนครศรีธรรมราช การต้องเลือกระหว่างสิ่งที่ดีสองแบบที่เป็นเรื่องตรงกันข้ามโดยผู้เกี่ยวข้องทั้งสองฝ่ายต่างก็มีเหตุผลและแรงสนับสนุน ก่อให้เกิดความขัดแย้งที่อาจขยายไปสู่ความรุนแรงได้ แต่ด้วยทั้งสองฝ่ายมีผู้นำที่มีเหตุผล ใจกว้างรับฟังความเห็นและความต้องการของผู้อื่นที่เห็นต่าง  ไม่เอาเปรียบหรือคำนึงแต่ประโยชน์ของฝ่ายตน ปัญหานั้นจึงคลี่คลายลง สนามบินจึงเกิดขึ้นได้โดยไม่ทำลายสภาพแวดล้อมของท้องถิ่นให้เลวร้ายลง แม้ว่าจะมีบางสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปบ้าง แต่ทุกฝ่ายก็ได้รับประโยชน์ เนื้อหาของหนังสือนอกจากจะสะท้อนปัญหาการพัฒนาท้องถิ่นทางวัตถุและการแก้ปัญหาแล้ว ยังให้ความรู้ ความเข้าใจกระบวนการและวิธีดำเนินงานก่อสร้าง รวมทั้งการตระหนักในคุณค่าและความสำคัญของธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ โดยการนำเสนออย่างแนบเนียนผ่านเด็กชายเขตแดน เยาวชนชาวกรุงวัย 12 ปีผู้ใฝ่รู้และรักธรรมชาติ บุตรชายของวิศวกรผู้ควบคุมโครงการก่อสร้าง มีการสอดแทรกสาระและข้อคิดที่น่าสนใจไว้ในบทสนทนาระหว่างพ่อกับลูก ครูกับศิษย์ ผ่านความคิดและพฤติกรรมของตัวละคร นอกจากนี้ยังเป็นแนวทางจัดการปัญหาและความขัดแย้งอย่างสันติวิธี ด้วยการเจรจาและรับฟังความเห็นต่างซึ่งนำไปสู่ความสำเร็จและความสุขของทุกฝ่าย โลกสวยที่น้ำใส ของชัยกร หาญไฟฟ้า จึงสมควรได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ประเภทวรรณกรรมสำหรับเยาวชน    

เซนในสวน

  เซน เด็กชายวัย 11 ปี เคยเรียนที่โรงเรียนนานาชาติต้องย้ายมาอยู่ที่บ้านสวนของย่าในชนบท เพราะพ่อประสบปัญหาธุรกิจเสื้อผ้าส่งออก ต้องขายทรัพย์สินทุกอย่างเพื่อชดใช้หนี้จำนวนมาก พ่อต้องทำงานหนักและเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ เพื่อให้อยู่รอดในชนบท เซนได้เรียนรู้การทำมาหากินและความเป็นอยู่จากพ่อ วิถีชีวิตที่ต้องต่อสู้กับปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้น ทำให้เซนได้รู้จักความสุข ความทุกข์ การพลัดพราก และรู้ว่าชีวิตต้องดำเนินต่อไป เรื่องเซนในสวนสะท้อนการดำเนินชีวิตตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงที่ชัดเจน คือ การพึ่งตนเอง ปลูกเพื่อกิน ถ้าเหลือขาย กลวิธีการเขียน ดำเนินเรื่องได้ฉับไว สะท้อนภาพชีวิตชนบทได้ชัดเจน ถ่ายทอดพัฒนาการของตัวละครทั้งเซน และพ่อ การใช้ตัวละครเด็กที่สามารถกล่อมเกลาจิตใจตนเองได้เป็นอย่างดี ทำให้วรรณกรรมสำหรับเยาวชนเรื่องเซนในสวน สมควรได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1  

ครั้งหนี่ง…คิดถึงเป็นระยะ

ครั้งหนึ่ง…คิดถึงเป็นระยะ ของเจน จิ เป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นที่นำภาพชีวิตของบรรดาผู้คนและสถานที่ต่าง ๆ ในกรุงเทพมหานคร มาบอกเล่าผ่านเรื่องราวของความรัก มิตรไมตรี และความปรารถนาดีต่อกันของตัวละครในเรื่องแต่ละเรื่องได้อย่างน่าประทับใจ โดยผู้เขียนเลือกนำเสนอภาพของมหานครในแง่มุมที่งดงามสดใส ทั้ง ๆ ที่มีภาพลักษณ์ว่าเป็นเมืองวุ่นวาย อึกทึก และผู้คนไร้น้ำใจไมตรีต่อกัน ผู้เขียนเล่าเรื่องได้อย่างมีชีวิตชีวา ทำให้ผู้อ่านย้อนรำลึกถึงสถานที่ต่าง ๆ ที่คุ้นเคย เช่น เยาวราช สะพานพุทธฯ เป็นต้น ทำให้สถานที่เหล่านั้นกลับมามีเสน่ห์น่าสนใจขึ้นผู้อ่านสามารถสัมผัสแง่คิดที่จริงจัง แต่แฝงอารมณ์ขันผู้เขียนได้อย่างชัดเจน  

กลางฝูงแพะหลังหัก

“กลางฝูงแพะหลังหัก”  หนังสือรวมเรื่องสั้นของ “อุมมีสาลาม อุมาร” นอกจากจะมีความเป็นเอกภาพในด้านเนื้อหาสาระ ที่บอกเล่าถึงวิถีชีวิตของชาวมุสลิมในจังหวัดภาคใต้ซึ่งเป็นบ้านเกิดของผู้เขียนแล้ว แง่มุมที่หยิบยกมานำเสนอยังมีความหลากหลายซึ่งแต่ละเรื่องผู้เขียนได้สะท้อนภาพทั้งหมดด้วยเนื้อหาที่ปราศจากอคติ ด้วยภาษาที่ง่ายงามอย่างน่าติดตาม บางเรื่องท้าทายความคิด บางเรื่องทำให้เห็นปมเหตุความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในจังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่บางเรื่องก็สร้างแรงสะเทือนใจเกี่ยวกับชีวิตและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมมุสลิม โดยเฉพาะเรื่อง “กลางฝูงแพะ” เปรียบเสมือนเป็นภาพวาดแห่งชีวิตที่มีสีสัน มีมิติที่แปลกใหม่และลุ่มลึก ดังนั้นรวมเรื่องสั้นชุด “กลางฝูงแพะหลังหัก” จึงสมควรได้รับรางวับรองชนะเลิศอันดับ 1 ประจำปี 2558

จะหลับตาลงได้อย่างไร

“จะหลับตาลงได้อย่างไร” เป็นหนังสือรวมเรื่องสั้น 11 เรื่องของเสาวรี แต่ละเรื่องมีเนื้อหาให้ตระหนักรู้ถึงธรรมชาติของมนุษย์ที่ยากแท้หยั่งถึง ทุกชีวิตไม่สามารถหลีกพ้นจากความครอบงำของกิเลสตัณหา คือความอยากมี อยากได้ และใคร่เป็น ผู้เขียนสามารถสร้างเรื่องผูกปมปัญหาไว้อย่างแนบเนียน แล้วค่อย ๆ คลี่คลายให้เห็นผลที่ตามมาในที่สุดของเรื่อง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโศกนาฏกรรมที่เกินคาด ผู้เขียนสามารถชักนำให้ผู้อ่านได้ร่วมรับรู้ถึงปัญหาต่าง ๆ ในสังคมได้อย่างน่าครุ่นคิดด้วยเนื้อหา ฉาก บรรยากาศ ตัวละครที่ต่างเพศ วัย และสถานภาพได้อย่างสมจริง โดยสื่อแนวคิดอันเป็นเอกภาพว่าถ้าคนในสังคมยังคงมีความขัดแย้งอยู่ แล้วเรา “จะหลับตาลงได้อย่างไร” ที่สำคัญเรื่องสั้นแต่ละเรื่องมีส่วนช่วยให้ผู้อ่านได้นำเรื่องราวและเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมาเป็นอุทาหรณ์ใคร่ครวญให้เข้าใจโลกและชีวิต โดยเฉพาะชีวิตของคนใกล้ชิดได้ลุ่มลึกยิ่งขึ้น เสาวรีมีชั้นเชิงในการนำเสนอได้อย่างสร้างสรรค์และน่าสนใจ ด้วยการนำเรื่องสั้น 11 เรื่องมาเสนอต่อเนื่องกันเป็นคู่ ๆ โดยแต่ละคู่เป็นเรื่องเดียวกัน เพียงแต่ผ่านการเล่าและแง่คิดมุมมองที่ต่างกันของตัวละครสำคัญ ๆ ช่วยให้ผู้อ่านเข้าถึงความหมายของเรื่องได้แจ่มแจ้ง ส่วนเรื่องสุดท้ายสรุปความหมายของ “ชีวิต ไว้ได้อย่างสมบูรณ์ เรื่องสั้นทุกเรื่องแสดงถึงความเชี่ยวชาญของผู้เขียนในการใช้ภาษาเล่าเรื่องที่ดูเป็นธรรมชาติและสร้างบทสนทนาได้สมจริง ทำให้เรื่องมีพลัง กินใจ และสะเทือนอารมณ์ ด้วยคุณภาพอันโดดเด่นทั้งในด้านเนื้อหา และกลวิธีการนำเสนอ “จะหลับตาลงได้อย่างไร” จึงเป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นที่สมควรได้รับรางวัลชนะเลิศประจำปี 2558

NOW

“NOW”  ผลงานของอาร์ต  จีโน การ์ตูนเรื่องนี้ใช้อากัปกิริยาของตัวละครตัวเดียวเล่าเรื่องตั้งแต่แรกจนจบ บอกเล่าความรู้สึก-นึกคิด-จิตใจ ของปุถุชนเพศหญิงคนหนึ่งที่มีความขัดแย้งระหว่างความ “อยาก” และความ “หวาด” กับบางสิ่งบางอย่าง จุดประสงค์ของผู้สร้างสรรค์การ์ตูนเรื่องนี้ต้องการให้ผู้อ่านใช้จินตนาการโดยชี้ให้เห็นเป็นนัยยะ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร แท้จริงมันก็แค่ภาวะธรรมดาอย่างหนึ่งของโลกย์ หากใครต้องการเผชิญกับความ “เป็นไป”  ควรต้องตัดสินใจ “เดี๋ยวนี้” นิยายภาพ (การ์ตูน) “NOW” จึงสมควรได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2

KING OF VAMPIRES

“KING OF VAMPIRES” เป็นผลงานของมังกร สรพล เป็นการ์ตูนนิยายภาพแนวแฟนตาซี ได้รับอิทธิพลมาจากเรื่อง “แวมไพร์” ของฝรั่ง การวางโครงเรื่องเน้นฉากต่อสู้เป็นพิเศษ ฝีมือวาดภาพและแอ็คชั่นของตัวละครประณีต มีแบบฉบับเฉพาะตัว เนื้อเรื่องโดยรวมทำให้เกิดความสะเทือนอารมณ์ระหว่างวิถีความเป็นมนุษย์และอมนุษย์ การเดินเรื่องสนุก ตื่นเต้น ผสานกับการวาดที่ต่อเนื่องงดงาม ทำให้การ์ตูนเล่มนี้ชวนติดตาม นิยายภาพ (การ์ตูน) “KING OF VAMPIRES” จึงสมควรได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2

สยามยิ้มแสยะ

“สยามยิ้มแสยะ” ผลงานรวมเล่มการ์ตูน ของสะอาด  เป็นการ์ตูนช่องลายเส้นสี่สี ลักษณะการ์ตูนร่วมสมัย จัดแบ่งเรื่องออกเป็นหมวดหมู่ นำเสนอความคิดที่มีต่อชีวิต-สังคม-การเมือง และเงื่อนงำปัญหาซึ่งมักถูกมองข้าม โดยใช้รูปแบบตลก (ร้าย) เป็นเรื่องขำขัน เสียดสี ยียวนที่ขมขื่น ให้แง่คิดแบบย้อนแย้ง กระตุ้นเตือนให้ตระหนักถึงการใช้ชีวิต คิดวิเคราะห์ ส่วนสะท้อนของการ์ตูนเล่มนี้ เชื่อว่าทำให้ผู้อ่านรู้สึกขำ ๆ ระคนขื่นนิด ๆ และอาจทำให้ย้อนคิดถึงหลายสิ่งหลายอย่างที่เคยชิน-มองผ่าน นิยายภาพ (การ์ตูน) “สยามยิ้มแสยะ” ของสะอาด จึงสมควรได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1  

BASED ON TRUE STORIES

“BASED ON TRUE STORIES” ชื่อภาษาไทย  “พูดเป็นการ์ตูนไปได้” ผลงานของกวิน ศตวุฒิ เป็นการเขียนการ์ตูนสั้นหลายเรื่องรวมกันเป็นเล่ม ตัวละครมีบุคลิกชัดเจนผู้วาดสามารถเขียนลักษณะท่าทางการแสดงออกของการ์ตูนที่มีมุมมองและอารมณ์ที่หลากหลาย การวางมุมมองภาพสะท้อนเนื้อหาของเรื่องได้อย่างลงตัว วิธีเล่าเรื่องด้วยภาพ-การเขียนเรื่องได้นำแง่คิดบางอย่างในสังคมซึ่งถูกมองข้ามมาใช้เป็นจุดสำคัญสูงสุดของเรื่องได้อย่างคมคาย ทำให้ผู้อ่านเกิดความประทับใจ และในแต่ละเรื่องผู้อ่านสามารถต่อยอดความคิดเชิงคุณธรรมและปรัชญาชีวิตได้ นิยายภาพ (การ์ตูน) “BASED ON TRUE STORIES พูดเป็นการ์ตูนไปได้” จึงสมควรได้รับรางวัลชนะเลิศ  

กาหลมหรทึก

เป็นนวนิยายสืบสวนสอบสวนเรื่อง กาหลมหรทึก ของ ปราปต์ กล่าวถึงคดีฆาตกรรมซึ่งปรากฏรอยสักประหลาด 5 คำบนตัวผู้ตายเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องทั่วพระนครและย่านฝั่งธน สร้างความโกลาหลและสะเทือนขวัญประดุจการลั่นกลองใหญ่กลางกรุงแต่ครั้งโบราณเพื่อเตือนเหตุเภทภัย แผนฆาตกรรมที่ถูกประจงสร้างขึ้นอย่างซับซ้อน โดยประสาน ศาสตร์แห่งการวางแผนที่กำหนดวัน เวลาและสถานที่ไว้แน่นอน กับศิลป์แห่งความเข้าใจในโคลงกลบทโบราณอย่างลึกซึ้ง  นำไปสู่การไขปริศนาของ “สาร” ที่ฆาตกรต้องการประกาศให้สังคมรับรู้ การดำเนินเองเป็นไปอย่างเข้มข้น น่าติดตาม และนำผู้อ่านเข้าสู่วังวนแห่งการตั้งคำถามโดยไม่รู้ตัวถึงสาเหตุแห่งการจูงใจอันโหดเหี้ยมของผู้วางแผนและฆาตกรผู้เขียนสามารถปลุกเร้าความสนใจของผู้อ่านให้ติดตามอย่างต่อเนื่อง ล่อหลอกให้ไขว้เขวกว่าผู้เขียนจะคลี่คลายปมอันคาดไม่ถึงในตอนจบ นวนิยายเรื่องนี้ยังสอดแทรกเกร็ดความรู้เชิงประวัติศาสตร์สังคมเกี่ยวกับสถานที่เกิดเหตุต่าง ๆ ท่ามกลางบรรยากาศของสงครามมหาเอเชียบูรพาได้อย่างกลมกลืน คณะกรรมการตัดสินรางวัลเซเว่นบุ๊คอวอร์ดประเภทนวนิยายจึงมีมติให้ กาหลมหรทึก ของ ปราปต์ เป็นนวนิยายที่สมควรได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ประเภทนวนิยายปี 2558  

หยาดน้ำค้างพันปี

อายุขัยของมนุษย์นั้นน้อยนิดนักเมื่อเทียบกับการคงอยู่ของจักรวาล อาจเปรียบได้กับหยาดน้ำค้างที่พร้อมจะระเหยหายไปตามกาลเวลา หากเมื่อมองชีวิตผ่านความทุกข์อันใหญ่หลวงที่กำลังเผชิญอยู่ย่อมยากที่ใครจะคิดเช่นนั้นได้ 22 ปีที่นางสายน้ำ นานขวัญใจ ตกอยู่ในสถานะของผู้ต้องหาคดีปลอมแปลงสมบัติของแผ่นดิน แม้จะเชื่อในความสุจริตของตน แต่ไม่มั่นใจกระบวนการยุติธรรมตั้งแต่ชั้นพนักงานสอบสวนจนถึงชั้นผู้ว่าคดี เพราะฉะนั้นยามที่ต้องขึ้นศาลครั้งแล้วครั้งเล่า เธออยู่ในภาวะที่ถูกกดดันต่อเนื่อง กระบวนการแสวงหาข้อเท็จจริงในคดียืดเยื้อยาวนานจนเธอไม่รู้ว่าจะจบลงที่ใด ชมัยภร แสงกระจ่าง ฉายภาพชีวิตของตัวละครที่เคราะห์กรรมถาโถมเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัว ฉุดรั้งชีวิตให้ดำดิ่งสู่ห้วงลึกลงทุกที จนเวลาล่วงไป เธอจึงได้คิดแล้วพินิจความทุกข์ รับธรรมะเข้ามาประคองใจ ปลดเปลื้องด้วยการเปิดใจตามดูรู้เท่าทันจิตของตน จนตระหนักได้ว่าความทุกข์ที่มาจาก “คนอื่น” นั้น แท้ที่จริงแม้จะเริ่มจากเหตุปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้ แต่ทุกข์นั้นก็ยังดำรงอยู่เพราะใจกักเก็บหล่อเลี้ยงมันไว้ นอกจากการเล่าเรื่องแบบสัจนิยมแล้ว นวนิยายเรื่อง หยาดน้ำค้างพันปี ยังแสดงสัญญะที่ตัวละครหลบเลี้ยงและปฏิเสธความทุกข์ด้วยการปักจิตปักใจกับการปักผ้าระบายแรงกดดันที่กำลังเผชิญผ่านลายปักสีสันเศร้าหมองที่สะท้อนถึงความสิ้นหวัง ภาวะไร้อำนาจและความปรารถนาในอิสรภาพ กองผ้าที่ปักสูงเพียงใดทุกข์ก็ท่วมใจเพียงนั้น จนไม่มีวันออกจากทุกข์ได้ ตราบใดที่ไม่ “ตื่น” จากทุกข์ “สิ่งใดที่เกิดขึ้นในชีวิตเรา ดีที่สุดสำหรับเรา” คือประโยคสำคัญที่ผู้เขียนส่งสารมายังผู้อ่านให้เปิดใจเรียนรู้ชีวิตจากทุกข์ของตนเอง วิกฤตชีวิตคือโอกาสสำคัญที่จะทำให้เราเข้าใจความเป็นชีวิต รู้จักกับ “ใจ” ของตน จิตที่ฝึกแล้วย่อมไม่พาชีวิตให้ทอดเวลาแห่งทุกข์ยืดยาวเป็นหยาดน้ำค้างพันปีได้ อย่างไรก็ตามผู้อ่านอาจเห็นว่าประโยคนี้เป็นเพียงประโยคปลอบใจ สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับชีวิตของนางสายน้ำ แต่เป็นสิ่งที่เธอไม่ได้เลือก หรือเลือกไม่ได้ คณะกรรมการตัดสินรางวัลเซเว่นบุ๊คอวอร์ดประเภทนวนิยายจึงมีมติให้ หยาดน้ำค้างพันปี ของ ชมัยภร แสงกระจ่าง เป็นนวนิยายที่สมควรได้รับรางวัลชนะเลิศประเภทนวนิยายประจำปี 2558

พลิ้วไปในพรายเวลา

เราทุกคนคงมีช่วงเวลาหนึ่งในชีวิตที่ฝังใจไม่รู้ลืม โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงเวลาแห่งความรัก แม้ว่าจะผ่านพ้นมาด้วยความสุขปนเศร้า หรือหฤหรรษ์ปนเจ็บแปลบ แต่เมื่อใดที่หวนย้อนกลับไปรำลึกถึง เราก็คงอยากจะอ้อยอิ่งละเลียดโมงยามนั้นให้ดื่มด่ำซ้ำอีกครา นั่นจึงเป็นที่มาของนวนิยายเรื่อง พลิ้วไปในพรายเวลา ของผาด พาสิกรณ์ ผู้รังสรรค์เรื่องราวนิยายรักของหญิงสาวที่มีอารมณ์ผูกพันกับชายสองคน คนหนึ่งเป็นชายหนุ่มที่ผ่านพบในอดีตช่วงสั้น ช่วงเวลาที่บังเอิญมาพาดทับกันนั้น มีอิสรภาพของหัวใจเป็นตัวเร้าและความถูกชะตาเป็นตัวเร่ง แต่แล้วหนุ่มใหญ่ก็ต้องพรากจากกันด้วยความไม่พร้อมทั้งฝ่ายเธอและฝ่ายเขา ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นชายที่เธอรู้สึกคุ้นเคยเหมือนเป็นเงาของอดีต สำหรับเธอ-หนุ่มน้อยเป็นเหมือนช่วงเวลาที่ขโมยมาจากอดีต สำหรับเขา-เธอเป็นเหมือนกลิ่นเงาจาง ๆ ของอดีตที่มาเติมเต็มช่องว่างของปัจจุบัน ในที่สุดเธอได้ทราบว่าเขาเป็นลูกชายของคนรักคนแรกที่หวนกลับมาพบกันอีกครั้ง เธอจะตัดสินใจเลือกใคร “เลือกพ่อ ลูกเจ็บ เลือกลูก เธอก็ตัดใจจากพ่อไม่ได้” เธอมีทางเลือกที่สาม แต่ดูเหมือนว่าพระพรหมจะไม่ปล่อยให้เธอเลือกเส้นทางนั้นได้ง่าย ๆ พลิ้วไปในพรายเวลา ดำเนินเรื่องด้วยความประจวบเหมาะตั้งแต่ต้นจนจบ แต่กลับมีความเป็นไปได้ตามบริบทของท้องเรื่อง ความบังเอิญอันหาที่มาไม่ได้ถูกโยนให้เป็นความรับผิดชอบของพระพรหมที่ขีดเส้นชีวิตไว้ให้มนุษย์ตัวจ้อย และคอยเฝ้าดูด้วยความหรรษา ตัวละครทุกตัวในนวนิยายเรื่องนี้มีมิติสมจริง บทสนทนามีชีวิตชีวา ลีลาตัวอารมณ์ของตัวละครมีจังหวะหนักเบา รุกรับถอยหลบตามที่ใจและสมองผลัดกันสั่งการทำให้นวนิยายเรื่องนี้มีความวูบไหวพลิกพลิ้วให้ต้องติดตามตลอดเวลา ผู้เขียนแบ่งเรื่องนี้ออกเป็น 4 ภาคเพื่อตามเก็บรายละเอียดไม่เผลอไผลทิ้งค้าง สิ่งที่กล่าวถึงในตอนต้นเรื่องถูกคลี่คลายในตอนท้ายเรื่องอย่างไม่ตกหล่น บทบรรยายและบทพรรณนาด้วยภาษาภาพพจน์ของผู้เขียนพาผู้อ่านพลิ้วไปในท้องสมุทรของตัวอักษร ที่มีแสง สี เสียง กลิ่น รส อันช่วยกันสร้างจินตนาการและจินตนาการบรรเจิดแก่ผู้อ่าน ส่วนตอนจบ ผู้เขียนก็ทิ้งค้างไว้ให้อารมณ์และความคิดของผู้อ่านทำงานต่อบ้าง…อย่างน้อยก็ถกเถียงกันพอหอมปากหอมคอว่า มาราดา-ตัวเอกของเรื่องจะตัดสินใจใหม่หรือไม่ ชีวิตรักของมาราดาลงเอยแบบใดหรือนักเขียนจงใจหยุดเรื่องไว้ตรงนี้ เพราะเขียนได้เพียงต้นชีวิตและกลางชีวิต ส่วนปลายชีวิตนั้นเป็นลิขิตของพระพรหม พลิ้วไปในพรายเวลา เป็นเรื่องเลาถึงอารมณ์มนุษย์ช่วงที่หวามไหวในความรักกับคนที่ใช่ แล้วเก็บฝังไว้ในความทรงจำไม่รู้ลืม ไม่ว่าความรักนั้นจะลงตัวและลงเอยหรือไม่ นวนิยายเรื่องนี้จึงจับใจ จับอารมณ์ จับความรู้สึกของผู้อ่านให้ร่วม “พลิ้วไปในพรายเวลา” ที่ฝังอยู่ในใจของแต่ละคน คณะกรรมการตัดสินรางวัลเซเว่นบุ๊คอวอร์ดประเภทนวนิยายจึงมีมติให้ พลิ้วไปในพรายเวลา ของผาด พาสิกรณ์ เป็นนวนิยายที่สมควรได้รับรางวัลชนะเลิศประเภทนวนิยายประจำปี 2558

ประเทศของท่าน บ้านของผม

รวมบทกวี “ประเทศของท่าน บ้านของผม” โดยพิเชฐ  แสงทอง เป็นการบอกว่าชีวิตของบุคคลย่อมซ้อนทับกับการดำเนินไปของสังคม ความเป็นไป ชะตากรรม หรือความคาดหมายในครอบครัวหนึ่ง ย่อมประกอบขึ้นเป็นเนื้อหนังของสังคมประเทศที่ไม่ต่างกัน จากบ้านสู่ประเทศ จากประเทศสู่บ้าน เราต่างมุ่งหวังชีวิตที่ดีกว่า แต่ในความเป็นจริงความหวังทั้งหลายได้หล่นหายรายเรียงไม่อาจจะดินถึงได้ทั้งที่เห็นอยู่เบื้องหน้า “ประเทศของท่าน บ้านของผม” กล้าหาญที่จะบอกถึงสิ่งซึ่งผุกร่อน ล่มสลายในท่ามกลางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไม่คงที่ ท้าทายกับยุคสมัยที่โลกหมุนไปข้างหน้า  ท้าทายกับสิ่งที่เคยเป็นหมุดหมาย วีรกรรม อุดมคติ โดยผ่านการวิพากษ์จากรูปธรรมส่วนตนเองไปยังสังคมประเทศ เกิดการกระตุก ยั่วเย้า เพื่อให้เกิดการขบคิดต่อสิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้อย่างกว้างขวางตามทัศนะแห่งการตีความ ดังนั้นรวมบทกวี “ประเทศของท่าน บ้านของผม” โดยพิเชฐ  แสงทอง จึงสมควรได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2  

สายลมบุพกาล

รวมบทกวี “สายลมบุพกาล” ของ ลอง จ้องรวี แบ่งเนื้อหาออกเป็น 2 ภาค ภาคแรก “บรรพ์ที่ 1 : สายลมบุพกาล” นำเสนอภาพชีวิตเปี่ยมสุขเมื่อครั้งวัยเยาว์ ผู้เขียนค่อย ๆ เผยรายละเอียดผ่านการละเล่นของเหล่าเด็กน้อยที่เป็นไปอย่างเรียบง่ายสอดคล้องกับยุคสมัยที่ “สายลมบุพกาล” ได้พัดผ่านไปแล้วอย่างยากจะหวนคืน ภาพวิถีชีวิตของคน “ริมยม” ที่อาศัยทรัพย์ในดิน สินในน้ำ หล่อเลี้ยงชีวิตให้งอกงามตามอัตภาพตลอดจนอารมณ์ความรู้สึกภาคภูมิใจในความเป็นคนเมืองเก่า “สุโขทัย” อันสุขสงบของผู้เขียนซึ่ง “สายลมบุพกาล” ก็ได้พัดผ่านไปแล้วเช่นกัน ภาคหลัง “บรรพ์ที่ 2 : วันวานของอนาคต” เสนอสภาพสังคมปัจจุบันโดยเฉพาะในแวดวง “การศึกษา” ที่ผู้เขียนสังกัดอยู่อย่างมีสีสัน ทั้งปัญหานักเรียนค้าประเวณี หรือทำงานในสถานที่หมิ่นเหม่ต่อบรรทัดฐานทางศีลธรรม ผู้เขียนให้ภาพแง่มุมการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยผ่านภาพสิ่งของที่ปรากฏอยู่ใน “กระเป๋านักเรียน (หญิง)” อย่างมีสีสันผ่านสายตาของครูผู้ห่วงใยศิษย์ ผู้เขียนยังวิพากษ์วิจารณ์ระบบการศึกษาแผนใหม่ที่พรากครูไปจากห้องเรียนเพื่อเขียนเอกสารส่งตรวจตามมาตรฐาน “ตัวชี้วัด” ซึ่งสังการมาจากกระทรวงและไม่สอดคล้องกับธรรมชาติของการศึกษาที่แท้จริง ด้วยลีลาภาษาที่มีชั้นเชิงพอประมาณ ประกอบกับสำนวนโวหารที่คมคายในบทกวีหลายบทอันแฝงปรัชญาชีวิตชวนคิด เมื่อประกอบเข้ากับเนื้อหาอันเป็นเรื่องสัจธรรมแห่งชีวิตที่ไม่ตกยุคตกสมัย รวมบทกวี “สายลมบุพกาล” ของ ลอง  จ้องรวี จึงสมควรได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1

เงาไม่มีเงา

“เงาไม่มีเงา” ของนายทิวา เป็นผลงานรวมบทกวีซึ่งแบ่งเป็น 3 ภาค คือ “เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป” “ตั้งอยู่-ดับไป-เกิดขึ้น” และ “ดับไป-เกิดขึ้น-ตั้งอยู่” ผู้ประพันธ์นำปรัชญาของพระพุทธศาสนา เรื่องความเป็นอนิจจังของสรรพสิ่งมาเรียงร้อยด้วยชั้นเชิงทางวรรณศิลป์ ผ่านบทกวี ซึ่งสะท้อนวิถีชีวิตของผู้คนในมหานครเมืองแห่งอารยธรรมแต่ในท่ามกลางความเจริญแห่งอารยธรรมและเทคโนโลยี มนุษย์กลับไร้สุขและยังคง “งมงาย” กับวิถีชีวิตที่แก่งแย่งแข่งขันเพื่อเอาตัวรอด ยิ่งมากเทคโนโลยียิ่งห่างเหินจากกันไร้ความสัมพันธ์ฉันเพื่อนมนุษย์ ผู้ประพันธ์มุ่งให้ผู้อ่านตระหนักถึงสภาวะวิถีมนุษย์ซึ่งเปรียบเสมือนเงาที่ไร้เงาเพื่อให้มนุษย์ได้ตื่นรู้ว่าสรรพสิ่งล้วนไม่จีรัง ย่อมเสื่อมสลายไปตามวัฏสงสาร อันเป็นสัจธรรมแห่งชีวิต รวมบทกวี “เงาไม่มีเงา” ของนายทิวา จึงสมควรได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1