เซรีญา เล่ม 1-3
ผู้เขียนวางโครงเรื่องน่าติดตาม ทั้ง 3 ตอน ใช้ภาษาบรรยายชัดเจน อ่านเข้าใจง่าย ผู้เขียนมีเทคนิคในการเขียนให้ผู้อ่านติดตามเรื่อง ทิ้งปมไว้ ผู้เขียนแทรกปรัชญา คติธรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ นำตำนานต่าง ๆ ผูกเข้าเป็นเรื่อง อ่านได้อรรถรสมีคุณค่าเหมาสมให้นักเรียนอ่าน เนื้อหาซับซ้อน แฝงปรัชญา มีข้อคิดมากมาย นอกเหนือจากการอ่านเพื่อความสนุก
ตามหาสรวงสวรรค์
เริ่มเรื่องขึ้นกลางนครใหญ่ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวไกล มนุษย์ใช้เครื่องจักรกลต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกสบาย แม้กระทั่งสามารถซื้ออวัยวะจักรกลเพื่อให้มีชีวิตยืนยาวขึ้น ในนครแห่งนี้มีตำนานเล่าขานถึงเรื่องเมืองสวรรค์ ที่มนุษย์สามารถมีชีวิตชั่วนิรันดร์ แต่ก็ยังไม่มีใครสามารถพิสูจน์ได้ว่ามีจริง คาวีและมินตรา แฝดสองพี่น้อง กำลังประสบปัญหาด้วยไม่มีกำลังทรัพย์จะจัดหาหัวใจจักรกลมาเปลี่ยนให้แม่ ประกอบกับทั้งสองได้พบเห็นและรับรู้เรื่องราวบางอย่างโดยบังเอิญ ที่ทำให้เชื่อได้ว่าเมืองสวรรค์น่าจะมีจริง จึงเป็นแรงบันดาลใจให้ทั้งคู่ออกเดินทางตามหาเมืองดังกล่าว เพื่อนำหัวใจอมตะมาช่วยชีวิตแม่ เรื่องดำเนินไปอย่างน่าติดตาม ผู้อ่านจะค่อย ๆ รับรู้เรื่องลี้ลับของดินแดนแห่งนั้น จากฉาก เหตุการณ์ และตัวละครที่ปรากฏเด่นชัดขึ้น ในระหว่างการเดินทางสองพี่น้องต้องเผชิญอุปสรรคมากมาย แต่ก็ผ่านมาได้ด้วยความรัก ความเสียสละซึ่งกันและกัน จนสามารถเดินทางสู่เป้าหมายได้ในที่สุด อย่างไรก็ตามทั้งสองกลับต้องพบกับเงื่อนไขหลายประการที่ต้องเลือก สุดท้ายทั้งสองตัดสินใจเลือกกลับไปใช้ชีวิตร่วมกับแม่อย่างมีความสุข ก่อนที่แม่จะจากไปตามอายุขัย เป็นช่วงเวลาที่มีคุณค่า ด้วยแม่บอกว่าหัวใจของแม่อยู่ในตัวลูกทั้งสองนั่นเอง ในตอนสุดท้ายผู้เขียนได้ฝากแง่คิดผ่านตัวละครไว้อย่างงดงามว่าความเป็นอมตะอาจจะไม่ใช่การอยู่ไปชั่วนิรันดร์ แต่หมายถึงการส่งผ่านความรัก และความดีงามแก่ลูกหลานของเรา ครอบครัวของเรารวมถึงคนรุ่นต่อไป
สุ(ข)นัขคอนโด
หนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องราวของนักเขียนที่ “หวาดผวากับวิกฤติวัยกลางคน” ซึ่งผู้เล่าเรียกว่า “พ่อ” ในสไตล์การเขียนแนว I STORY เรื่องราวเริ่มจากการที่เขาไปซื้อลูกสุนัขพันธุ์ปั๊กจากตลาด อ.ต.ก. มาเลี้ยงในคอนโดมิเนียม โดยมิได้ศึกษาให้ดีว่าสุนัขพันธุ์นี้ขี้เหงาและติดคนเลี้ยง ไม่เหมาะสำหรับหรับการเลี้ยงไว้ในพื้นที่แคบ ๆ เช่น คอนโดฯ โดยทิ้งไว้ตามลำพัง ในตอนกลางวันเมื่อต้องออกไปทำงาน ทำให้ต้องไปหาซื้อสุนัขมาเลี้ยงเป็นเพื่อนอีกตัวหนึ่งเป็นสุนัขพันธุ์เฟรนช์บูลด๊อก ตั้งแต่นั้นมาชีวิตของ “พ่อ” และหลานชายซึ่งเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยที่อาศัยอยู่ด้วยกันก็ต้องวุ่นวายกับการดูแลความเป็นอยู่ตั้งแต่การกินถึงการฝึกให้ขับถ่ายอย่างมีวินัยของสัตว์เลี้ยงทั้งสองตัวนี้ แต่เขาก็มีความสุขดี แม้จะต้องเป็นทุกข์บ้างบางครั้งเมื่อสัตว์เลี้ยงแสนรักเจ็บไข้ได้ป่วย เรื่องราวคลี่คลายให้คนอ่านได้รับรู้ว่า “ผม” คือ ลูกสุนัขพันธุ์บีเกิลที่เขาเคยเลี้ยงและตายไปเมื่อสามปีก่อนหน้านี้ ผู้เขียนแสดงให้เห็นถึงชีวิตสมัยใหม่ของคนในเมืองใหญ่ ที่อาศัยอยู่ในคอนโดฯ ซึ่งมีพื้นที่จำกัด รวมทั้งปฏิสัมพันธ์ของผู้คนที่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีเมื่อมีสัตว์เลี้ยงเป็นเพื่อนเพราะผู้คนที่ต่างคนต่างอยู่เริ่มมีเรื่องของสัตว์เลี้ยงเป็นหัวข้อสนทนา คณะกรรมการตัดสินจึงมีความเห็นว่าหนังสือเล่มนี้สมควรเป็น “หนังสือแนะนำ”
เกาะที่มีความสุขที่สุดในโลก
เป็นเรื่องของชาวเกาะแอมบริม เกาะเล็ก ๆ ของประเทศวานูอาตู หมู่เกาะในมหาสมุทร แปซิฟิกใต้ เนื้อเรื่องเสนอลักษณะภูมิประเทศ ธรรมชาติ วิถีชีวิต ขนบธรรมเนียม ความเชื่อและพิธีกรรมของผู้คนในท้องถิ่น ผ่านการเล่าเรื่องของ “ยาโน” หลานชายของ “บูบู” หัวหน้าหมู่บ้าน ผู้ประพันธ์บรรยายฉากสถานที่และเหตุการณ์ต่าง ๆ อย่างชัดเจน ตัวละครเป็นธรรมชาติ มีพฤติกรรมที่สมจริง เป็นเหตุเป็นผล บทสนทนาระหว่างตัวละครเอกสอดแทรกภูมิปัญญา ความคิดลึกซึ้งของ “บูบู” หัวหน้าหมู่บ้าน ซึ่งชาวบ้านนับถือและเชื่อว่ามีพลังอำนาจลึกลับ แม้ไม่อาจพิสูจน์ได้ด้วยการมองเห็น แต่หมายถึงจิตศรัทธา สิ่งที่ “ยาโน่” มองเห็นจากการกระทำของตาก็คือการเป็นหัวหน้าไม่ใช่การที่มีอำนาจเหนือคนอื่น แต่เป็นคนรับใช้ที่ทำงานหนักกว่าคนอื่น พฤติกรรมความเป็นผู้นำของตัวละครปรากฏชัดเจนเมื่อเกิดเหตุการณ์ภูเขาไฟประทุ ด้วยพลังศรัทธา ที่จะใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติ โดยเป็นผู้รับและผู้ให้ “ยาโน่” ยอมเสียสละของมีค่าที่สุดในชีวิตคือ เขี้ยวหมูซึ่ง “บูบู” มอบให้เป็นสัญลักษณ์ว่าอาจจะได้สืบทอดตำแหน่งหัวหน้าหมู่บ้านในอนาคต เพื่อบูชาเทพเจ้าแห่งภูเขาไฟ ตามความเชื่อว่า จะช่วยชาวเกาะให้อยู่รอดปลอดภัย เรื่องจบลงอย่างงดงาม “ยาโน่” ได้ค้นพบว่า ความสุขของเขาไม่ได้อยู่ที่การจะได้เป็นหัวหน้าหมู่บ้าน แต่อยู่ที่ความอบอุ่นในครอบครัว มิตรภาพระหว่างเพื่อน และความอยู่ดีกินดีของคนในหมู่บ้าน นั่นคือความสุขที่แท้จริง
ห้องเรียนไม่มีฝา
ห้องเรียนไม่มีฝา นำเสนอชีวิต ความเป็นอยู่และการศึกษาของสามเณร โดยเฉพาะการศึกษาวิชาบาลี ผ่านเรื่องราวชีวิตของ ‘มูเล’ เด็กชายชาวใต้ บุตรเจ้าของค่ายมวย ผู้เปลี่ยนเส้นทางชีวิตตนเองและความมุ่งหวังของบิดาจากสายการต่อสู้บนผืนผ้าใบมาสู่เส้นทางสายพุทธศาสนา ด้วยการสนับสนุนและชี้นำของ ‘หลวงลุง’ เจ้าอาวาสวัดประจำหมู่บ้านผู้เป็นที่เคารพอย่างสูงในท้องถิ่น ‘สามเณรมูเล’ ได้ไปศึกษาวิชาบาลี ณ วัดป่าแห่งหนึ่งอย่างมีความสุข หลังสำเร็จการศึกษาสอบผ่านเปรียญธรรมประโยค 1-2 ‘สามเณรมูเล’ ได้กลับถิ่นกำเนิดเพื่อนำประกาศนียบัตรไปถวายให้ ‘หลวงลุง’ ผู้มีพระคุณและพบหน้าบิดามารดา ผู้มีความปีติในความสำเร็จและก้าวหน้าทางธรรมะของบุตร ในทำนองเดียวกับที่ ‘สามเณรมูเล’ มีความสุขและภาคภูมิใจ ที่ได้บวชและศึกษาธรรมะแผนกบาลี ทำให้ผู้มีพระคุณมีความสุข ซึ่งเชื่อกันว่าตัวเองก็ได้บุญ พ่อแม่ก็ได้บุญ การนำเสนอเนื้อหาได้แบ่งเป็นตอนสั้น ๆ เริ่มต้นอย่างชวนอ่านและจบอย่างน่าติดตาม ตัวละครมีความสมจริง เป็นธรรมชาติและมีชีวิตชีวา สอดแทรกสาระและความรู้ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องอย่างเหมาะสมและแนบเนียน ผ่านการบรรยายและบทสนทนา มีการเปรียบเทียบคมคายเห็นภาพพจน์ การบรรยายเรื่องเรียบง่าย สละสลวย ชัดเจน เรื่องราวเกี่ยวกับพระและเณร เป็นเรื่องที่รู้เฉพาะผู้บวชเรียน หนังสือเรื่อง ห้องเรียนไม่มีฝา จึงเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับผู้อ่านทั้งเยาวชนและผู้ใหญ่ โดยเฉพาะเมื่อถ่ายทอดโดยผู้มีประสบการณ์ตรงและมีความสามารถทางภาษาอย่างดียิ่ง หนังสือเรื่องนี้จึงเปี่ยมด้วยสาระและบันเทิงที่บริสุทธิ์ ทำให้ผู้อ่านเบิกบานและสุขใจ จึงเป็นหนังสือดีมีคุณค่า สมควรได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1