All Posts

Archives

  • Home
  • สำนักพิมพ์มติชน

คนในคลื่น

10 เรื่องสั้นที่รวมพิมพ์อยู่ในหนังสือ “คนในคลื่น” ถ่ายทอดเรื่องราวของคนที่ทำงานในเรือประมง   ความผูกพันระหว่างคนกับทะเล และความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน อย่างมีเลือดเนื้อ มีชีวิตจิตใจ และมีสีสัน ทั้งในฐานะที่ผู้เขียนมีโอกาสใช้ชีวิตอยู่ในเรือประมงมานานหลายปี และในฐานะของนักสังเกตการณ์ที่เฝ้ามองความเป็นไปต่างๆ อย่างพินิจพิเคราะห์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฐานะคนเขียนหนังสือที่มีฝีมือและความสามารถในการใช้ภาษาทำให้ผู้อ่านมองเห็นภาพชีวิตความเป็นอยู่ในเรือ สัมผัสขื่นคาวของทะเลและผู้คนที่ร่วมชะตากรรมในเรือลำเดียวกัน อีกทั้งผู้เขียนได้สะท้อนให้ย้อนมองกลับไปยังอดีตอันรุ่งโรจน์และอนาคตอันร่วงโรยของประมงไทยในที่ซึ่งประสบการณ์ของคนรุ่นเก่เผชิญหน้ากับเทคโนโลยีของคนรุ่นใหม่ รวมเรื่องสั้นเล่มนี้ยังได้บอกกับเราว่าแม้จะไม่ได้อยู่ในเรือประมง  แต่เราทุกคนก็อยู่ในคลื่นทะเลชีวิต เช่นเดียวกัน หนังสือรวมเรื่องสั้นคนในคลื่น จึงสมควรได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 รางวัลเซเว่นบุ๊คอวอร์ดประจำปี 2553

สยามหลากเผ่าหลายพันธุ์

หนังสือเล่มนี้เป็นบทความที่ได้มาจากการสัมภาษณ์บุคคลต่าง ๆ ถึง 22 คน ที่หลากหลายเผ่าพันธุ์จากชุมชนต่าง ๆ ทั่วประเทศไทย และแต่ละคนล้วนมีความภูมิใจในเผ่าพันธุ์ของตน แม้ทุกคนจะรักและเต็มใจเสียสละให้ประเทศไทย แต่ก็ยังต้องการรักษาเอกลักษณ์ชาติพันธุ์ของตนเอง ชี้ชัดว่าสังคมไทยเป็น “พหุสังคม” คือมีผู้คนหลากหลายวัฒนธรรมมารวมกันอย่างกลมกลืน สงบสุข งานเขียนมีลักษณะเป็นสารคดีชีวิตของผู้ดำรงอัตลักษณ์แห่งชาติพันธุ์ตนเองไว้อย่างเด่นชัด ซึ่งมิได้มีเพียงชนเผ่าที่เราคุ้นเคย แต่ยังเจาะลึกถึงเผ่าพันธุ์เล็ก ๆ อย่างชาวชอง ชาวลาวครั่ง ฯลฯ ซึ่งเกิดจากการที่ผู้เขียนพากเพียรเดินทางไปสัมภาษณ์ แล้วนำมาเรียบเรียงเป็นสารคดีที่มีคุณค่าเชิงวรรณศิลป์ มีข้อมูลน่าเชื่อถือ อันเกิดจากการค้นคว้า ศึกษา วิจัย ส่งผลให้เป็นหนังสือชวนอ่าน จุดประกายความคิดให้สังคมตระหนักว่า ความภาคภูมิใจในตนเองควรอยู่บนพื้นฐานของการเคารพและเข้าใจคนอื่นด้วย กลวิธีการนำเสนอของหนังสือเล่มนี้น่าสนใจ เพราะใช้การสัมภาษณ์บุคคลชาติพันธุ์ต่าง ๆ แล้วนำมารวมไว้ในเล่มเดียว จึงให้เห็นภาพกว้างของความหลากหลายของชนเผ่าในประเทศไทย ด้วยวิธีเขียนที่ไม่เป็นทางการมากเกินไปจึงอ่านสนุก พร้อมกับมีเรื่องเล่าต่าง ๆ ที่น่าทึ่ง และแสดงสายสัมพันธ์ระหว่างชนเผ่าต่าง ๆ ให้เห็น ทั้งจากการตั้งสมมติฐาน การเก็บข้อมูล และการสัมภาษณ์ จึงเป็นหนังสือให้ความรู้ด้วยภาษาง่าย ๆ และอ่านได้ด้วยความเพลิดเพลิน ทรงคุณค่าแก่การเป็นหนังสือชนะเลิศรางวัลเซเว่นบุ๊คอวอร์ดประเภทสารคดีชาติพันธุ์วิทยา ประจำปีพุทธศักราช 2554

เส้นผมบังจักรวาล

“เส้นผมบังจักรวาล” เป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นที่ถ่ายทอดความเป็นไปของชีวิต ผ่านบทบาทของตัวละครในฉากเล็ก ๆ แคบ ๆ และธรรมดาดังที่พบเห็นกันอยู่ แต่ด้วยมุมมองและจินตนาการของผู้เขียน  ภาพที่ปรากฏต่อผู้อ่านกลับมีแง่มุมแปลกใหม่ที่น่าสนใจและชวนให้ขบคิดตาม ผู้เขียนมีศิลปะในการเล่าเรื่องด้วยลีลาภาษาร่วมสมัย และสร้างโครงเรื่องที่หลากหลายใช้กลวิธีต่างกัน มีทั้งแนวสมจริง เหนือจริง สัญลักษณ์ และอื่น ๆ นำผู้อ่านไปสัมผัสกับความรัก ความชัง ความทุกข์ ความสุข ความเจ็บปวด และความเฉยชาที่มีอยู่ในการเกิด การตาย และการดิ้นรนเพื่อจะมีชีวิตอยู่ของตัวละคร และสื่อความหมายเป็นนัยว่าถ้ามองทะลุตัวละครเหล่านั้นไป ก็จะพบความจริงเช่นเดียวกันในโลก

บันไดกระจก

“บันไดกระจก” เป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นจำนวน 10 เรื่อง ของวัฒน์ ยวงแก้ว ที่มีความน่าสนใจทั้งในด้านศิลปะการเขียนและแง่คิดมุมมอง วัฒน์ ยวงแก้วเป็นนักเขียนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถทั้งในการใช้ภาษาและกลวิธีการนำเสนอ   ซึ่งมีรูปแบบทั้งเรียบง่ายและซับซ้อน  มีเนื้อหาสื่อแสดงและซ่อนเร้นนัยทางสังคมอย่างคมคาย  จะเห็นได้ว่างานเขียนในหนังสือบันไดกระจกแสดงถึงความสนใจของผู้แต่งที่มีต่อปัญหารอบตัวและผู้คนทั่วไป  ไม่เว้นแม้แต่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ผ่านลีลาและวิธีคิดวิธีเขียนของคนยุคปัจจุบัน  เสน่ห์ของหนังสือ“บันไดกระจก” อยู่ที่ความแปลกแยกแตกต่างของเรื่องสั้นแต่ละเรื่อง   ซึ่งผู้อ่านสามารถตีความได้โดยอิสระและถามตัวเองว่าผู้แต่งได้บอกเล่าหรือให้คำตอบอะไรใหม่ ๆ บ้าง หนังสือรวมเรื่องสั้นบันไดกระจกจึงสมควรได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2  รางวัลเซเว่นบุ๊คอวอร์ดประจำปี พ.ศ. 2555

ในอ้อมกอดกาลี

นวนิยายเรื่องนี้แสดงความร่วมสมัยด้วยการสะท้อนภาพสังคมไทยในปัจจุบันที่ทุกจุดและทุกส่วนกำลังจ่อสู่ปัญหา   ผู้เขียนสร้างตัวละครชุดหนึ่งขึ้นมาเป็นตัวแทนของบุคคลในกลุ่มปัญหาเหล่านั้น  อันได้แก่ วัยรุ่นที่สถาบันครอบครัวล่มสลาย  นายทุนผู้ล้มเหลวในธุรกิจและชีวิต   ข้าราชการตกอยู่ในร่างแหอันยุ่งเหยิงของการใช้อำนาจ  และชาวบ้านผู้งมงายและยากแค้นอยู่กับการหาเช้ากินค่ำ   ตัวละครเหล่านี้ต่างถูกครอบงำด้วยกลไกอำนาจรัฐ   อำนาจทุนนิยมและอำนาจธรรมชาติ  ราวกับถูกโอบล้อมไว้ด้วยอ้อมกอดกาลี  ทางแก้ทางเดียวที่ผู้เขียนเห็น  แต่สิ้นหวังเสียแล้วในเรื่องนี้ก็คือ ความรักที่มนุษย์พึงมีต่อกัน   ความโดดเด่นของเรื่องนี้ไม่เพียงแต่อยู่ที่ความเข้มข้นของเนื้อหาความจริงอันน่าตระหนกตกใจ  แต่ยังอยู่ที่กลวิธีของนวนิยายคล้ายสืบสวนสอบสวนแต่กลับปิดฉากด้วยปรากฏการณ์ธรรมชาติได้อย่างสมจริงและสะท้านใจ  

พี่มือใหม่

หนังสือเรื่อง “พี่มือใหม่” เป็นเรื่องราวของเด็กผู้หญิงอายุประมาณ 3 ขวบ ซึ่งกำลังจะมีน้องคนแรก เธอเป็นลูกคนเดียวของพ่อแม่มาจนถึงวันหนึ่งที่ยายบอกว่ามีข่าวดี เกี่ยวกับน้องที่พึ่งเกิดใหม่ และสั่งว่าเธอต้อง “รักน้อง” ตัวเล็กๆ ของเธอ เธอเริ่มรู้สึกสับสนว่า “หนูยังไม่เคยเห็นน้อง ไม่เคยรู้จักน้อง แล้วหนูจะรักหรือไม่รักน้องได้อย่างไร” เมื่อพ่อกับแม่พาน้องกลับมาที่บ้าน ความสับสนในใจของเธอก็มีมากขึ้น เพราะเมื่อเธอเข้าไปใกล้น้อง พ่อแม่ก็หาว่า “กวนน้อง” หรือ “แกล้งน้อง” เธอไม่เข้าใจว่า “ทำไมผู้ใหญ่ชอบสั่งให้เด็กๆ ทำโน่น ทำนี่” และ “ทำไมต้องดุ” เวลาที่เธออยากเห็นน้องใกล้ๆ เธอไม่อยากมีน้องคนนี้เลย แต่เมื่อเธอและน้องค่อยๆ เติบโตขึ้น เธอก็สรุปกับตัวเองว่า “ดีเหมือนกันที่ได้เป็นพี่” หนังสือเล่มนี้ทำให้เราเข้าใจความคิดของเด็กในวัยที่กำลังต้องการความรักและความเข้าใจของพ่อแม่และผู้ใหญ่ที่อยู่ใกล้ตัว เรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ทำให้คนอ่านที่เป็นผู้ใหญ่ตระหนักได้ว่าควรเอาใจใส่ “พี่มือใหม่” พร้อมๆ กับน้องที่เพิ่งเกิดใหม่ด้วยเช่นกัน และควรบอกเล่าเรื่อง “น้อง” ล่วงหน้านานพอสมควร เพื่อเตรียมความพร้อมให้ “พี่” สำนวนภาษาที่น่ารัก แสดงให้เห็นถึงความคิดคำนึงที่ไร้เดียงสาของเด็กๆ ทำให้คณะกรรมการตัดสินมีความเห็นว่าหนังสือเล่มนี้สมควรเป็น “หนังสือแนะนำ”  

ออกไปข้างใน

ออกไปข้างใน โดยนฆ  ปักษนาวิน เป็นรวมเรื่องสั้นจากทั้งหมด 10 เรื่อง ที่ประกอบด้วยความหลากหลายทั้งตัวเรื่อง สถานที่ และเทคนิคการเล่าเรื่อง มีความทับซ้อนชวนให้ตีความได้หลายนัย ผ่านการเล่าเรื่องด้วยมุมมองที่แปลกใหม่ รวมทั้งการสร้างสรรค์เนื้อหาที่มีสาระผูกโยงทั้งด้านประวัติศาสตร์ การเมือง สังคม ชีวิต และภาวะภายในของปัจเจกบุคคล โดยไม่หวังตั้งคำถามและไม่ต้องการคำตอบที่ชัดเจน แต่ให้สัมผัสได้ด้วยความคิดคำนึง เรื่องราวบางเรื่องอาจเป็นอดีตที่สังคมรับทราบ เช่น เหตุการณ์เดือนตุลาคม 2516-2519 แต่ผู้เขียนใช้การบอกเล่าด้วยมุมมองที่แตกต่าง ด้วยศิลปะและวรรณศิลป์ผ่านมิติเวลาที่ทับซ้อน ซึ่งเป็นเสน่ห์ในภาพรวมของหนังสือเล่มนี้ อนึ่ง ผู้เขียนได้ฉายภาพมุมกว้างเพื่อมองภาพรวมของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์แสดงให้เห็นความโดดเดี่ยวท่ามกลางสังคมพลุกพล่าน เห็นอุดมคติท่ามกลางความไร้สาระ เห็นความเชื่อที่โยงใยอยู่ ลึก ๆ เบื้องหลัง เห็นความมืดบอดเมื่อค้นหาเข้าไปด้านลึกภายในและในการค้นหาทางออกนั้น พบว่าแท้จริงแล้วคือการเดินผ่านไปสู่ความซับซ้อนที่อยู่ภายใน รวมเรื่องสั้น “ออกไปข้างใน” จึงสมควรได้รับรางวัลชนะเลิศรางวัลเซเวนบุ๊คอวอร์ด ประเภทรวมเรื่องสั้น ประจำปี 2556

ม้อนน้อยที่รัก

เป็นเรื่องราวของเด็กสาวชาวอีสานชื่อ “ปอยไหม”  เธอเติบโตในครอบครัวชาวนาที่อบอุ่น “ปอยไหม” เป็นเด็กดี  เรียนเก่ง   ช่วยพ่อแม่ทำงานด้วยความขยันขันแข็ง  หน้าที่หลักของเธอคือการเลี้ยงตัวไหม   เธอเลี้ยงไหมดูแลไหมด้วยความรักและเอาใจใส่  พร้อมกับเรียนรู้เรื่องราวของตัวไหมแต่ละช่วงวัย  วันเวลาผ่านไป “ปอยไหม” ค่อย ๆ เรียนรู้และเติบโตไปกับงานเลี้ยงไหมที่ตนรักอย่างมีความสุข ความรักเอาใจใส่คนในครอบครัว  ความขยันหมั่นเพียร ความอดทน และการใช้เงินอย่างรู้คุณค่า พฤติกรรมดังกล่าวของ “ปอยไหม” เป็นแบบอย่างที่ดียิ่งสำหรับเยาวชน    

วัฏจักรไร้สำนึก

“วัฏจักรไร้สำนึก” ของ “ปองวุฒิ รุจิระชาคร” เป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นที่ถ่ายทอดความเป็นไปในสังคมสู่ผู้อ่านผ่านโครงเรื่องที่จินตนาการขึ้นอย่างแยบยล และสมจริง  แม้บางเรื่องจะใช้ฉากของโลกอนาคต  ดินแดนอื่นที่มิใช่ประเทศไทย  หรือมีเหตุการณ์เหนือจริง แต่ก็มิได้ทิ้งหลักเหตุผล  นอกจากนี้ผู้เขียนยังมีศิลปะในการเล่าเรื่องที่ชวนติดตามและแฝงอารณ์ขัน  ทำให้แต่ละเรื่องเป็นเรื่องสั้นที่อ่านสนุก   เรื่องราวและประเด็นที่ผู้เขียนนำมาเสนอมีหลากหลาย  แต่ทั้งหมดก็มีความสอดคล้อง  กลมกลืนในแง่ที่เป็นภาพสะท้อนของโลกปัจจุบันที่แม้จะเต็มไปด้วยการแก่งแย่งแข่งขัน เอารัดเอาเปรียบ หลอกลวงกันและกัน แต่ก็ยังมีความรัก ความเอื้อเฟื้อ ความเชื่อในคุณค่าของเสรีภาพ และศรัทธาในความดีงามสอดแทรกอยู่ด้วย หนังสือรวมเรื่องสั้นเรื่อง “วัฏจักรไร้สำนึก” จึงสมควรได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1

ไส้เดือนตาบอดในเขาวงกต

        “ไส้เดือนตาบอดในเขาวงกต” ของ วีรพร  นิติประภา  เป็นนวนิยายที่กล่าวถึงชีวิตของเด็กหญิงและเด็กชายกำพร้า 3 คนคือ  ชาลิกา  ชารียา  และปราณ  ใช้ชีวิตในวัยเด็กอย่างอบอุ่นที่บ้านสวนริมแม่น้ำนครชัยศรี  ครั้นโตขึ้นเป็นหนุ่มสาวก็แยกย้ายมาใช้ชีวิตของตนเองในกรุงเทพมหานครสลับกับบ้านเกิดเป็นครั้งคราว  ชีวิตช่วงนี้พวกเขาต้องประสบกับปัญหาเรื่องความรักและความขัดแย้งทางอารมณ์  ชีวิตจึงมีแต่ความอ้างว้าง ขมขื่น  โดดเดี่ยว  เดียวดาย  จวบจนวาระสุดท้ายของชีวิต    ตัวละครอื่น ๆ ที่คนทั้งสามเกี่ยวข้องสัมพันธ์ด้วยล้วนแต่ประสบกับชาตะกรรมชีวิตที่เลวร้ายหรือ “ถูกชีวิตทรยศ” ทั้งสิ้น ไม่ว่าธนิตผู้หลงใหลคลั่งไคล้ผ้าโบราณ ธนานักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย   นทีผู้สร้างภาพให้ตนเองดูเป็นชายที่มีเสน่ห์ ภัทรนักดนตรีร็อค  และนวลหญิงที่มีสามีสามคนพร้อมกัน เสน่ห์ของนวนิยายเรื่องนี้อยู่ที่ความเข้มข้นทางอารมณ์ของตัวละครที่เกิดจากกลวิธีการประพันธ์ที่ผสมผสานแนวสัจนิยมและจินตนิยายเข้าด้วยกันอย่างกลมกลืน การเสพสุนทรียะอย่างวิจิตรของตัวละคร ผ่านสีสันของสวนดอกไม้  อวลไปด้วยเสียงไพเราะของดนตรีคลาสสิค ความงดงามของผ้าโบราณ และรสชาติอาหารที่ชวนลิ้มลอง ส่งผลให้ตัวละครเสพชีวิตอย่างสุดโต่งด้วยรสอารมณ์มากกว่าคำนึงถึงตรรกะของเหตุและผล ผู้เขียนสามารถพรรณนาความรู้สึกทุกภาวะอารมณ์ของตัวละครได้อย่างลุ่มลึก ตัวอักษรบีบคั้นกดดันอารมณ์ผู้อ่านร่วมไปกับตัวละครทุกบททุกตอน นวนิยายเรื่องนี้เป็นบันเทิงคดีร่วมสมัยของไทยที่แหวกขนบ มุ่งสะท้อน “มลพิษของความรัก” ผู้เขียนวิพากษ์วิจารณ์ปมปัญหาความรักได้อย่างลึกซึ้งแยบยล  โดยชี้ให้เห็นอีกด้านหนึ่งของความรักว่าคือมายาคติที่มนุษย์ลุ่มหลงและมัวเมา  มายาคติแห่งรักสร้างความซาบซึ้งตรึงใจและความเจ็บปวดรวดร้าวซ้ำแล้วซ้ำเล่า  กระนั้นผู้คนก็ยังคงดิ้นรนโหยหาความรักอยู่ดี  แม้บางครั้งมิอาจพานพบรักแท้ได้ในชีวิตจริง  ดุจเดียวกับ “ไส้เดือนตาบอดในเขาวงกต” ที่หาทางออกไม่พบ คณะกรรมการรางวัลเซเว่นบุ๊คอวอร์ดประเภทนวนิยายจึงมีมติให้ “ไส้เดือนตาบอดในเขาวงกต”  ของ วีรพร นิติประภา เป็นนวนิยายที่สมควรได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ประเภทนวนิยาย ประจำปี 2557

กลางฝูงแพะหลังหัก

“กลางฝูงแพะหลังหัก”  หนังสือรวมเรื่องสั้นของ “อุมมีสาลาม อุมาร” นอกจากจะมีความเป็นเอกภาพในด้านเนื้อหาสาระ ที่บอกเล่าถึงวิถีชีวิตของชาวมุสลิมในจังหวัดภาคใต้ซึ่งเป็นบ้านเกิดของผู้เขียนแล้ว แง่มุมที่หยิบยกมานำเสนอยังมีความหลากหลายซึ่งแต่ละเรื่องผู้เขียนได้สะท้อนภาพทั้งหมดด้วยเนื้อหาที่ปราศจากอคติ ด้วยภาษาที่ง่ายงามอย่างน่าติดตาม บางเรื่องท้าทายความคิด บางเรื่องทำให้เห็นปมเหตุความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในจังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่บางเรื่องก็สร้างแรงสะเทือนใจเกี่ยวกับชีวิตและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมมุสลิม โดยเฉพาะเรื่อง “กลางฝูงแพะ” เปรียบเสมือนเป็นภาพวาดแห่งชีวิตที่มีสีสัน มีมิติที่แปลกใหม่และลุ่มลึก ดังนั้นรวมเรื่องสั้นชุด “กลางฝูงแพะหลังหัก” จึงสมควรได้รับรางวับรองชนะเลิศอันดับ 1 ประจำปี 2558

BON VOYAGE! บนเส้นทางข้าแผ่นดิน

Bon Voyage! บนเส้นทางข้าแผ่นดิน  บันทึกเรื่องราวชีวิตข้าราชการสองคนที่เป็นพ่อและลูก โดยลูกเป็นผู้เล่าเรื่อง สะท้อนให้เห็นการปฏิบัติงานราชการอย่างซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ สะท้อนชีวิตข้าราชการในอดีต ผู้เขียนได้เห็นภาพ มีรายละเอียดของยุคสมัย เห็นสัมพันธภาพของคนในครอบครัวอันอบอุ่นและงดงามผ่านกลวิธีทางวรรณศิลป์ที่ทำให้เรื่องมีรสชาติ มอบบทเรียนสำคัญให้ผู้อ่านว่าด้วยความสุจริตที่รอบคอบ กล้าหาญ ยืนหยัดต่อสู้เพื่อความถูกต้อง เป็นแบบอย่างให้อนุชนรุ่นหลังได้ศึกษาเป็นแนวทางการดำเนินชีวิต จึงสมควรได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2

ข้ามสมุทร

ข้ามสมุทร  ของ วิษณุ เครืองาม เป็นนวนิยายอิงประวัติศาสตร์ นำเสนอเรื่องราวชายหนุ่มนาม พจน์ ใน พ.ศ. 2542 หรือ ค.ศ. 2000 นักเรียนไทยในปารีส ที่เดินทางข้ามเวลา ข้ามทวีป ข้ามชาติภพไปยังกรุงศรีอยุธยา พ.ศ. 2228 ตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช กลายเป็น แสน ผู้มีโอกาสปฏิบัติหน้าที่ในฐานะล่ามติดตามคณะราชทูตของออกพระวิสูตรสุนทร (ปาน) ที่เชิญพระราชสาส์นเจริญสัมพันธไมตรีไปทูลเกล้าฯ ถวายพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส รอนแรมไปถึงหกเดือน และเดินทางกลับมากรุงศรีอยุธยาที่ช่วงรอยต่อระหว่างรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชกับสมเด็จพระเพทราชา ที่เข้มข้นด้วยวิกฤตการเมืองภายในและความตึงเครียดของการเมืองภายนอก ท้ายที่สุด พจน์ ก็ได้เดินทางกลับมาจุดเดิม เวลาเดิม และได้ค้นหาเติมเต็มสิ่งที่ใคร่รู้ที่ประวัติศาสตร์ไม่ได้บันทึกเอาไว้ ความหนา 925 หน้า 30 บท ของนวนิยายเรื่องนี้อัดแน่นไปด้วยข้อมูลที่ผู้เขียนค้นคว้ามาอย่างละเอียดลออ ทั้งข้อมูลจากฟากของฝรั่งเศสและข้อมูลจากฟากพงศาวดารไทยเท่าที่จะมีจารึกไว้ ผู้เขียนได้ใช้จินตนาการรังสรรค์ประวัติศาสตร์ให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งในรูปแบบของนวนิยาย ผู้อ่านจะพลอยได้รับความรู้ด้านกุศโลบายทางการทูตและการเมืองที่ชิงไหวชิงพริบเพื่อรักษาผลประโยชน์และเกียรติภูมิของประเทศชาตินอกเหนือไปจากเพลิดเพลินไปกับอรรถรสของนวนิยายที่ดำเนินเรื่องโดย พจน์ หรือ แสน ผู้เดินทางข้ามสมุทร อันกินความถึง ข้ามเวลา ข้ามทวีป และข้ามชาติภพ พร้อมกับเกิดความตระหนักถึงภูมิปัญญาของแผ่นดิน และสำนึกรู้คุณของบรรพบุรุษที่รักแผ่นดินเกิด ซึ่งเห็นแก่ประโยชน์ของบ้านเมืองเป็นสำคัญ นับได้ว่านวนิยายอิงประวัติศาสตร์เรื่อง ข้ามสมุทร ได้ทำหน้าที่อย่างภาคภูมิในการผนวกสาระข้อมูลเข้ากับจินตนาการของผู้เขียนได้อย่างกลมกลืน  คณะกรรมการพิจารณาตัดสินรางวัลเซเว่นบุ๊ค อวอร์ด ประเภทนวนิยายจึงมีมติให้นวนิยายเรื่อง ข้ามสมุทร ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ในปีพุทธศักราช 2559

มันยากที่จะเป็นมลายู

มันยากที่จะเป็นมลายู  เป็นหนังสือที่ปรับมาจากงานวิจัยปัญหาในภาคใต้ที่เปี่ยมล้นด้วยข้อมูลเชิงลึก เป็นข้อมูลเกี่ยวกับชีวิตของผู้คนในพื้นที่ ที่สะท้อนถึงความเจ็บปวด ปัญหา และอารมณ์ความรู้สึกของชาวไทยมุสลิมเชื้อสายมลายู แม้ปรับจากงานวิจัย แต่ผู้เขียนมีวิธีนำเสนอให้ชวนอ่าน ชวนติดตาม หนังสือเรื่อง มันยากที่จะเป็นมลายู  จึงสมควรได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 รางวัล เซเว่นบุ๊ค   อวอร์ด ประเภทสารคดี  ประจำปีพุทธศักราช 2560  

I CANCEL MY CANCER

I CANCEL MY CANCER เขียนโดยผู้เขียนซึ่งป่วยเป็นโรคร้ายที่รักษาให้หายขาดได้ยาก ขันตอนการรักษาซับซ้อน มีอาการลุกลาม และมีโรคอื่นแทรกปน ทว่ากลับเล่าเรื่องออกมาอย่างน่าประทับใจ ด้วยสำนวนภาษาที่จริงใจ ตรงไปตรงมา ทั้งยังเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ขันแทรกปนอยู่ในทุกบท แสดงถึงความเข้มแข็งภายในและการต่อสู้กับโรคร้ายไม่ย่อท้อ ทั้งยังให้ข้อมูล ที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับการรักษาโรคร้ายอย่างลงตัวอีกด้วย หนังสือเรื่อง I CANCEL MY CANCER จึงสมควรได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ ๑ รางวัลเซเว่นบุ๊คอวอร์ด ประเภทสารคดี ประจำปีพุทธศักราช ๒๕๖๐

พุทธศักราชอัสดงกับทรงจำของทรงจำของแมวกุหลาบดำ

ประวัติศาสตร์คือสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นเรื่องเล่าร่วมกันถึงความเป็นมาของพลเมืองในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง พุทธศักราชอัสดงกับทรงจำของทรงจำของแมวกุหลาบดำ นวนิยายของ วีรพร นิติประภาเป็นภาพจำลองกระบวนการสร้างความทรงจำร่วมกันหรือประดิษฐกรรมที่รับรู้ในนาม “ประวัติศาสตร์” ในบริบทของรัฐไทย ผู้เขียนสร้างครอบครัวคนจีนอพยพครอบครัวหนึ่ง-ตั้งต้นที่ตาทวดตง ให้มีชีวิตขนานไปกับเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ไทยท่ามกลางความผันผวนของการเปลี่ยนขั้วอำนาจและอุดมการณ์ทางการเมืองทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลกที่อวลอยู่ในบรรยากาศก่อนและหลังการสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง  ชะตากรรมของสมาชิกในครอบครัวเล็ก ๆ ซึ่งที่สุดแล้วได้รับการจดจำและกลายเป็นเรื่องเล่าผ่านตัวละครหลักคือ ยายศรีหนูดาว และ แมวตัวหนึ่งมีความคล้ายคลึงกันอย่างยิ่งยวดกับเรื่องเล่าระดับ                  มหภาค ซึ่งเป็นกระบวนการสร้างความทรงจำในลักษณะกระท่อนกระแท่น เว้าแหว่ง คลุมเครือ ไม่ปะติดปะต่อ สลับไปสลับมา และพร่าเลือนจนราวกับพรมแดนระหว่างอดีตกับปัจจุบัน ความจริงกับสิ่งสมมุติ การหลับฝันและการตื่น การจำได้และการลบลืม ไม่อาจแยกออกจากกันได้ตลอดกาล และในพื้นที่เช่นนี้เอง บางตัวละครไร้ที่ยืน ถูกกีดกันออกไปจากเรื่องเล่าให้กลายเป็นเพียงเงาสะท้อนของภูตพราย เป็นบุคคลสูญหาย ตกหล่น พลัดหลง และถูกขังลืมในซอกหลืบของเวลา ในขณะนำพาผู้อ่านเดินทางไปพร้อมกับตัวละครและเหตุการณ์ด้วยกลวิธีการประพันธ์แนวสัจนิยมมหัศจรรย์ (Magical Realism) ผ่านภาษาที่มีลักษณะเฉพาะตัว สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนซ่อนไว้อย่างแยบยล คือความปรารถนาให้ผู้อ่านหยุดคิดและตั้งคำถามกับ “เรื่องเล่า” ที่อยู่รอบตัว เพราะที่สุดแล้ว ความทรงจำของอดีตที่รับรู้ในนามประวัติศาสตร์ /เรื่องเล่า/หรือตำนาน แท้จริงคืออำนาจของผู้เล่าว่าเลือกจะเล่า เลือกจะลบ หรือเลือกจะลืม ดังนั้น พุทธศักราชอัสดงกับทรงจำของทรงจำของแมวกุหลาบดำ ของ วีรพร  นิติประภา  จึงสมควรได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1  ประเภทนวนิยาย ประจำปีพุทธศักราช 2560

ตาสว่างกับรัชกาลที่ 4

ตาสว่างกับรัชกาลที่๔ เป็นสารคดีเชิงวิเคราะห์พระราโชบายในรัชกาลที่ C แสดงให้เห็น ถึงพระปรีชาสามารถในการรักษาเอกราชของชาติจากหลากแง่มุม ทั้งการเมืองการปกครองและวิทยาศาสตร์ ผ่านการนำเสนออย่างมีชั้นเชิงทางวรรณศิลป์

ความสุข ความทรงจำ ในรัชกาลที่ 9

ความสุข ความทรงจำ ในรัชกาลที่ นำเสนอข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแนวพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ ๙ ที่ทรงทุ่มเทพระราชหฤทัย ทรงงานเพื่ออาณาประชาราษฎร์ นำเสนอ ด้วยภาษาสำนวนเรียบง่ายแต่งดงาม