All Posts

Archives

  • Home
  • นวนิยาย

กุหลาบเมืองหนาว

เป็นนวนิยายรักโรแมนติกของผู้ที่เกิดและเติบโตในประเทศสหรัฐอเมริกา เนื้อเรื่อง และตัวละครที่อยู่ในวัยหนุ่มสาวซึ่งมีชีวิตโลดแล่น ให้ความบันเทิงและควาเพลิดเพลินให้แง่คิดเรื่องความดีงามและความกตัญญู

กลางทะเลลึก

เป็นนวนิยายชีวิตชาวประมง ซึ่งทำงานหนักและเผชิญภัยอันตรายกลางทะเลลึกตีแผ่ภาวะจิตใจของมนุษย์ที่เต็มไปด้วยกิเลสตัณหา เผยให้เห็นความชับซ้อนทางความคิดและอารมณ์ของตัวละคร ผู้ประพันธ์สามารถถ่ายทอดภาพและภาวะความขัดแย้งของตัวละครได้อย่างละเอียดและลุ่มลึก มีการหน่วงเรื่องอย่างน่าสนใจชวนติดตาม ใช้ภาษากระชับ เข้มข้น และสมจริง

บูรพา

เป็นนวนิยายอิงประวัติศาสตร์สมัยรัตนโกสินทร์ซึ่งตรงกับสมัยวิกตอเรียนขอเนื้อเรื่องและการสร้างตัวละครสมจริง มีชีวิตชีวา สอดคล้องกับประวัติศาสตร์ สังคมและวัฒนธรรมในช่วงเวลาดังกล่าวสะท้อนปัญหาความรักและคตินิยมของคนต่างเชื้อชาติและชนชั้นสอดแทรกปรัชญาและการดำเนินชีวิตของสังคมที่ยึดมั่นในจารีต ภาษาที่ใช้สื่ออารมณ์และความรู้สึกของตัวละครได้ลึกซึ้งและแยบยล

เวียงแว่นฟ้า

เป็นนวนิยายที่นำข้อมูลทางประวัติศาสตร์ของอาณาจักรล้านนามาปรุงแต่งเป็นนวนิยายที่มีกลิ่นอายของสังคมภาคเหนือได้อย่างละเมียดละไม การดำเนินเรื่องชวนให้ติดตามและสมจริง สอดแทรกวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของเจ้านายกับสามัญชนได้อย่างแนบเนียนแสดงถึงการอยู่ร่วมกันของคนต่างขั้นในสังคม ด้วยการพึ่งพาอาศัยกัน เอื้อประโยชน์ต่อกันในภาพรวม การสร้างตัวละครเน้นการรู้จักคุณค่าของตนเอง การบรรยายและการพรรณนาก่อให้เกิดจินตภาพที่ขัดเจนด้วยภาษาที่งดงามและสมบูรณ์ มีความโดดเด่นในด้านวรรณศิลป์

กุหลาบในสวนเล็กๆ

ชมัยภร แสงกระจ่าง เขียนนวนิยายเรื่องนี้จากประวัติชีวิตและผลงานเขียนของคุณกุหลาบ สายประดิษฐ์ หรือ “ศรีบูรพา”  นักคิดนักเขียนที่ได้รับยกย่องจากยูเนสโกให้เป็นบุคคลดีเด่น และรวมเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาส 100 ปีชาติกาลในปี 2548 ที่ผ่านมา ผลงานต่าง ๆ ของศรีบูรพาทั้งเรื่องสั้น นวนิยาย บทความ งานแปล และอื่น ๆ ล้วนแสดงให้เห็นว่า “อุดมการณ์” และ “คุณธรรมจริยธรรม” มีความหมาย ความสำคัญต่อการสร้างสังคมที่แสนงาม เพราะอุดมการณ์และคุณธรรมจริยธรรมเป็นสิ่งบ่งชี้ความเจริญทางจิตใจ จิตวิญญาณ และคุณค่าของความเป็นมนุษย์ ซึ่งความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุและเทคโนดลยีไม่อาจเทียบได้ ความเป็นกุหลาบ สายประดิษฐ์ หรือ “ศรีบูรพา” คือความกล้าท้าทายอำนาจอันไม่เป็นธรรม ทำให้ผลงานของ “ศรีบูรพา” ยิ่งใหญ่และไม่ล้าสมัย แต่เพราะเหตุที่สังคมไทยมีวัฒนธรรมการอ่านอ่อนแอลงไปทุกที คนรุ่นใหม่จึงไม่ได้เรียนรู้เรื่องราวของบุคคลที่มีคุณค่าต่อสังคมไทย และไม่ได้รับรู้คุณค่าของหนังสือดี ๆ อีกเป็นจำนวนมาก ชมัยภร แสงกระจ่าง จึงทำหน้าที่เชื่อมต่อช่องว่างนี้ โดยนำประวัติและงานเขียนของ “ศรีบูรพา” มาร้อยเรียงเข้ากรับเรื่องราวของสังคมสมัยใหม่ เพื่อเป็นการสานต่ออุดมการณ์ความคิดของ “ศรีบูรพา” และแนะนำให้นักอ่านรุ่นใหม่เห็นคุณค่าของผลงานเขียนของนักคิดแห่งสังคมไทย ข้อจำกัดของการที่ต้องนำข้อมูลจำนวนมากเกี่ยวกับบุคคลและผลงานมาสร้าง ทำให้นวนิยายเรื่องกุหลาบในสวนเล็ก ๆ มีข้อมบกพร่องทางวรรณศิลป์อยู่บ้าง แต่กระนั้นความตั้งใจอของผู้เขียนที่จะเชื่อมโยงความคิดของคนรุ่นเก่ามาสู่คนรุ่นใหม่ ก็ประสบความสำเร็จอย่างน่าพอใจ นวนิยายเรื่องกุหลาบในสวนเล็ก ทั้งชี้นำและทั้งเชิญชวนให้นักอ่านอยากรู้จัก “ศรีบูรพา” และผลงานประพันธ์ของเขาให้มากขึ้นกว่าที่ได้อ่านจากหนังสือเล่มนี้ นี่คือความสำเร็จของนวนิยายเรื่องกุหลาบในสวนเล็ก ๆ โดยแท้ ดังนั้น กุหลาบในสวนเล็ก ๆ ของชมัยภร แสงกระจ่าง จึงสมควรได้รับการสนับสนุนให้เป็นหนังสือควรอ่านสำหรับนักเรียนและนักอ่านทั่วไป

ลับแลลายเมฆ

ลับแลลายเมฆ เป็นนวนิยายที่นำเสนอเรื่องผู้หญิงและเด็กถูกละเมิดทางเพศ ซึ่งเป็นประเด็นทางสังคมที่ร่วมสมัย เพราะเราจะได้ยินได้ฟังและได้อ่านเรื่องราวเหล่านี้ทางสื่อมวลชนอยู่เสมอ นวนิยายเรื่องนี้กล่าวถึงเด็กสาวแสนสวย มีชีวิตที่อบอุ่น งดงาม อยู่ในความคุ้มครองอย่างทะนุถนอมของคุณปู่คุณย่าผู้มั่งคั่ง เธอมีคนรักเป็นหนุมหล่อร่ำรวย ฉลาดและเป็นสุภาพบุรุษ ความเหมาะสมลงตัวทุกประการราวสวรรค์สรรสร้างน่าจะทำให้ชีวิตคู่หลังแต่งงานกันมีความสุขสมบูรณ์ แต่หากเป็นเช่นนั้นนวนิยายเรื่องนี้คงไร้สาระสำหรับผู้อ่าน ท้องฟ้าที่ใสกระจ่างในตอนแรก เริ่มมีเมฆหมอกมาบดบัด  เช่นเดียวกับเด็กสาวผู้มีชีวิตงดงามราวกับล่องลอยอยู่บนท้องฟ้าสมตามชื่อของเธอ เมื่อเธอย่างสู่วัยสาวเต็มตัว ก็ราวกับมีผู้เลื่อนฉากลับแลที่บดบัดความจริงแห่งชีวิตออกไป ความทรงจำเก่า ๆ เริ่มผุดพรายขึ้นมาเป็นระยะเมื่อได้เห็นสิ่งที่กระตุ้นความรู้สึก เสียงกอไผ่เสียดสี อาวุธปืน แผงอกเปลือยเปล่า ภาพเลอะเลือน รูปเงาไร้ร้างก่อตัวทะมึนเหนือร่างเธอราวอสุรกาย รวมทั้งความรู้สึกหวาดกลัว ขยะแขยง และเกลียดชัด ที่พลุ่งขึ้นท่วมหัวใจ ทำให้เธอเกิดอาการกลัวอย่างรุนแรงจนแทบเสียสติ ร่างกายแข็งเกร็งไร้การควบคุม เธอเกิดอาการเช่นนี้ทุกครั้งที่กำลังจะมีความสัมพันธ์ทางเพศกับคนรัก อาการและความรู้สึกนี้เป็นเช่นเดียวกับฝันร้ายในวัยเยาว์ที่คุณปู่คุณย่าเฝ้าเยียวยาปลุกปลอบจนฝันร้ายนั้นห่างไป แต่อันที่จริง ฝันร้ายนั้นถูกกลบฝังให้ตกตะกอนอยู่ในจิตใจใต้สำนึก รอเวลาที่จะมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดกวนให้ขุ่นขึ้นมา ในที่สุดในวันแต่งงานหญิงสาวพบว่าภาพเลอะเลือนที่เธอเห็น แต่ความรู้สึกกลัวจับใจที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ฝันร้าย หากแต่เป็นความจริงที่ถูกกลบฝังอยู่ในความทรงจำก่อนเก่า  เธอเริ่มจำประสบการณ์เลวร้ายซึ่งเกิดขึ้นกับตนเองได้ แต่ไม่ทั้งหมดและเมื่อติดตามสืบค้นต่อไปก่อพบความจริงที่โหดร้ายมากขึ้นที่เกิดขึ้นกับตัวเธอและครอบครัวของเธอ เรื่องราวของการล่วงละเมิดทางเพศไม่ได้เกิดขึ้นกับตัวละครหลักเท่านั้น ตัวละครหญิงอีกหลายตัวในเรื่องประสบกับการละเมิดทางเพศในลักษณะต่าง ๆ กัน บ้างก็รอดพ้นการข่มขืนมาได้ แต่อับอายและเจ็บช้ำ บ้างก็ถูกข่มขืนแล้วฆ่า บ้างก็ฆ่าตัวตายในภายหลังเพราะความเปราะบางของวัยเยาว์ที่ไม่อาจต่อสู้กับโลกที่โหดร้ายได้ ตัวละครเอกซึมซับกับเรื่องราวของผู้หญิงเคราะห์ร้ายมากมายที่พึ่งพาการเยียวยาจากสมาคมที่เป็นองค์กรเอกชนซึ่งตั้งขึ้นเพื่อให้ความอนุเคราะห์แก่เพื่อนเพศหญิงด้วยกัน เธอจึงพบหนทางแห่งการใช้ชีวิตของเธอให้มีคุณค่าต่อตนเอง ต่อเพื่อนมนุษย์ และต่อสังคม ลับแลลายเมฆ เป็นทั้งนวนิยายเชิงจิตวิทยาและนวนิยายเชิงสังคม “ปิยะพร ศักดิ์เกษม” สอดแทรกความรู้เกี่ยวกับการบำบัดรักษาคนไข้ที่มีอาการป่วยทางจิตใจ ด้วยการรื้อฟื้นความจำเพื่อให้คนไข้เผชิญหน้ากับความจริงในชีวิต ไม่ใช่หลบหนีหลีกเร้นจนกลายเป็นเก็บกดความเป็นจริงนั้นไว้ให้เป็นแผลกลัดหนองในใจไม่มีวันหาย การรักษาทางแพทย์ด้วยวิธีทางจิตวิทยาจึงทำให้คนเหล่านั้นกลับมาใช้ชีวิตอย่างเป็นปกติสุขตามเดิม และเนื่องจากอาการกลัวความสัมพันธ์ทางเพศเกิดจากการที่ตัวละครถูกข่มขืนซ้ำซากในวัยเด็กทำให้นวนิยายเรื่องนี้นำเสนอประเด็นทางสังคมถึงการกดขี่ทางเพศด้วย (Sexual Harassment) ไปจนถึงข่มขืน เรื่องค่านิยมของสังคมที่ยกย่องผู้ชายที่มีประสบการณ์ทางเพศมาก ๆ แต่เหยียดหยามผู้หญิงที่พลาดพลั้ง เรื่องระบบสังคม กฎหมาย และสื่อมวลชนที่ซ้ำเติมผู้หญิงที่เป็นเหยื่อทางเพศและที่สำคัญคือผู้หญิงที่เป็นเหยื่อทางเพศมักจะลงโทษตนเองด้วยความคิดว่าตนไม่มีคุณค่าอะไรเหลืออีกแล้ว นวนิยายเรื่องนี้ไม่ได้ชี้กลวิธีในการแก้ปัญหาสังคมโดยตรง แต่ได้กระตุ้นให้คิดว่าผู้ชายไทยควรได้รับการปลูกฝังให้เคารพคุณค่าของเพศหญิง ในขณะเดียวกันผู้หญิงก็ควรได้รับการปลูกฝังให้รักตนเอง และสำนึกในคุณค่าของตนเองให้มากขึ้น นอกจากจุดเด่นในด้านเนื้อหาแล้ว นวนิยายเรื่องนี้ยังมีลักษณะเด่นทางวรรณศิลป์ ผู้เขียนวางโครงเรื่องได้กระชับ แต่มีความซับซ้อน ชวนให้ผู้อ่านติดตามความจริงที่ผู้เขียนเปิดเผยเป็นระยะ ๆ จนคลี่คลายหมดในตอนจบเรื่อง เนื่องจากเป็นนวนิยายที่มีสาระทางการแพทย์และสังคม ผู้เขียนได้ค้นคว้าข้อมูลทางวิชาการอย่างมาก แต่ผู้เขียนก็นำมาย่อให้เข้าใจง่ายและสามารถสอดสลับไปกับเนื้อเรื่องได้อย่างกลมกลืน ไม่ทำลายรสวรรณศิลป์ของความเป็นนวนิยาย  ลับแลลายเมฆ จึงเป็นนวนิยายที่มีคุณค่าในมิติทางสังคมและมิติทางวรรณกรรมอย่างสมบูรณ์ ดังนั้น ลับแลลายเมฆ ของ “ปิยะพร ศักดิ์เกษม” จึงสมควรได้รับรางวัลยอดเยี่ยม “เซเว่นบุ๊ค อวอร์ด” ประเภคนวนิยาย ประจำปี 2559 นี้

นาครเขษม

“นาครเกษม” ผลงานของ “คอยนุช” เป็นนวนิยายขนาดสั้นแนวเสียดสีที่เขียนในลักษณะเหนือจริงผู้เขียนเสียดสีสังคมโลกสมัยใหม่ที่เคลื่อนไปอย่างรวดเร็วและเร่งรีบจนทำให้มนุษย์ใช้ชีวิตอย่างร้อนรน เพียงแค่อายุ 40 ปี พลังชีวิตก็ถูกใช้ไปจนหมดสิ้นแล้ว ดังนั้น ทันทีที่อายุครบ 40 ปี คนเหล่านี้ก็กลายเป็นชาวนาครเกษมไปโดยอัตโนมัติ ชาวนาครเกษมมีบุคลิกแบบคนสูงวัยทั่วไป คือ หัวล้าน ผมหงอก สายตายาว อวัยวะหย่อนยานเหี่ยวย่น หูตึง ความจำไม่ดี เป็นต้น หลายคนมีความฝังใจกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นพิเศษ อย่างมาโนชผู้เชื่อมั่นในของเก่าที่ใช้การไม่ได้แล้ว วิชัยฝังใจกับผู้หญิงผมยาวไม่รู้จักชื่อและพบว่าอวัยวะเพศของตนไม่ทำงานหลังจากเก็บยางลบที่เขียนชื่อว่านภาและนาครเกษมได้ นภาพนักงานพิมพ์ดีดที่ทำงานจนลืมวันลืมคืน กว่าจะรู้ตัวฝ้าบนใบหน้าของเธอก็มีขนาดใหญ่เป็นรูปแผนที่แอฟริกาและเครื่องคอมพิวเตอร์ก็มาแทนที่พิมพ์ดีดของเธอที่ตัว ฟ หายไป เธออยู่ที่นาครเกษมโดยไม่พูดจาแม้แต่คำเดียว เอาแต่ตามหาตัว ฟ อย่างมุ่งมั่น อนันต์ซึ่งมีความฝันว่าอยากออกไปจากกรุงเทพฯ อยากมีบ้านหลังเล็ก ๆ ในชนบทแต่ก็ไม่เคยทำได้เลย และคนอื่น ๆ ทุกคนเป็นอดีตพนักงานบริษัทที่ถูกปลดออกจากงานด้วยเหตุผลว่าหมดอายุใช้งาน ในตอนท้ายเรื่องทุกคนได้ขึ้นชิงช้าสวรรค์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนการกลับไปสู่ความสุขในวัยเด็กและพบคำตอบของปัญหาคาใจในชีวิตของแต่ละคน นิยายเรื่องนี้ไม่ได้สร้างตัวละครและเหตุการณ์ตามขนบของนวนิยายแบบสมจริง จึงมีความพิลึกพิลั่นเกินจริงอยู่มาก แต่พบว่าผู้เขียนตั้งใจเสนอแก่นความคิดเรื่องคุณค่าของมนุษย์ เพราะสังคมนิยมตีราคามนุษย์จากผลประโยชน์ที่เขาสร้างให้แก่บริษัท สังคมวัตถุนิยมทำให้พวก “เก่า ช้า ล้า แก่” คือ หัวเก่า เชื่องช้า ล้าสมัย แก่ ถูกคัดออกราวกับสิ่งของชำรุดหรือตกรุ่นแสดงว่าสังคมสมัยใหม่ตัดสินมนุษย์ที่ “มูลค่า” ไม่ใช่ “คุณค่า” นอกจากนี้ ผู้เขียนยังเน้นว่าสังคมบริโภคนิยมผลักดันให้มนุษย์หัวปักหัวปำอยู่กับการทำงานจนลืมไปว่าความสุขที่แท้อยู่ใกล้ตัว จึงละเลยที่จะเติมความสุขให้กับตนเอง ทุกคนพบว่าถึงที่สุดแล้วคนเราไม่ได้ต้องการอะไรในชีวิตมากไปกว่าความสุขใจ นาครเกษมไม่ได้เป็นชื่อที่มีอยู่บนแผนที่กรุงเทพมหานครหรือแผนที่ประเทศไทย แต่ผู้อ่านก็รู้สึกได้ว่านาครเกษมมีจริงและอยู่ใกล้ ๆ ตัว หลายคนอาจจะรู้สึกว่าตนเป็นพลเมืองของนครแห่งนี้ไปแล้วด้วยซ้ำหรืออย่างน้อยที่สุด นาครเกษมก็ทำให้เราฉุกคิดถึงคุณค่าและความเป็นมนุษย์ท่ามกลางโลกสมัยใหม่

ในวารวัน

ในวารวัน ผลงานของปิยะพร ศักดิ์เกษม เป็นนวนิยายอิงประวัติศาสตร์ที่กำหนดกรอบเวลาตั้งแต่พุทธศักราช 2445 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จนถึงพุทธศักราช 2486 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลกินระยะเวลารวม 4 แผ่นดิน หากแต่เป็น “สี่แผ่นดินฉบับบางปลาสร้อย” เพราะในวารวันเป็นเรื่องราวของประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ชุมชนบางปลาสร้อย จังหวัดชลบุรี ที่ผู้เขียนเล่าผสานไปกับชีวประวัติของแม่วัน ตัวละครเอก ซึ่งเป็นศูนย์กลางของเรื่อง แม่วันเป็นตัวละครที่เป็นแบบฉบับของคนดีที่สมบูรณ์แบบ เพราะพูดดี คิดดี ทำดี ซื่อสัตย์ ขยัน มัธยัสถ์ อดทน ตลอดเวลาตั้งแต่เด็กจนเป็นผู้ใหญ่ ทั้ง ๆ ที่ชีวิตของแม่วันต้องเผิชญกับความทุกข์ยากทั้งทางกายและใจอย่างมากมายจากแม่เลี้ยงและพี่น้องต่างมารดา ซึ่งทั้งด่าว่าเสียดสี โกงสมบัติ ขโมยทอง ปองร้อยหมายข่มขืน  จนถึงโพนทะนาให้เสียชื่อ แม่วันลูกกำพร้ากลับเป็นเหมือนเหล็กทนไฟ ยิ่งทุกข์ยิ่งแข็งแกร่ง สามารถเลี้ยงชีวิตตามลำพังหลังย่ายายตายด้วยการรับจ้างทำงานทุกอย่างโดยไม่รังเกียจ คุณความดีของแม่วันได้รับการตอบสนองในที่สุด ได้แต่งงานกับผู้ชายที่ดี สร้างฐานะได้มั่นคง สุดท้ายสามีเสียชีวิตไปก่อน แม่วันก็เป็นผู้หญิงเก่งที่สามารถดูแลลูก ๆ บริวารและกิจการอาชีพได้อย่างไม่บกพร่อง ส่วนแม่เลี้ยงและพี่น้องต่างมารถาทั้งของฝ่ายแม่วันและนายเทิดสามีต่างก็มีชีวิตตกต่ำ พินาศฉิบหายไปตามกรรม นวนิยายเรื่องนี้จึงมีแก่นเรื่องแสดงให้เห็นว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว หรือคนดีย่อมตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ การสร้างตัวละครเป็นคนดี คนชั่ว ชัดเจน ก็จัดเป็นตัวละครแบบฉบับเช่นเดียวกับแก่นเรื่อง แต่จุดเด่นของนวนิยายเรื่องนี้อยู่ที่การสอดร้อยประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเข้าไปในเนื้อหาเรื่องราวของตัวละครได้อย่างกลมกลืน  ทั้งเรื่องประเพณี อาชีพ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ตำนานสถานที่  โบราณสถาน ตลอดจนเหตุการณ์สำคัญในช่วงเวลาต่าง ๆ เช่น การเสด็จประพาสบางปลาสร้อยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีพระบรมราชินีเสด็จประพาสเมืองชลบุรี เป็นต้น ในวารวันจึงบันทึกอดีตไว้ เป็นนวนิยายที่ให้อรรถรสและมีวรรณศิลป์

เขียนฝันด้วยชีวิต

เขียนฝันด้วยชีวิต ของประชาคม ลุนาชัย  นำเสนอภาพชีวิตของชายที่มุ่งมั่นใฝ่ฝันจะเป็นนักเขียนอาชีพแต่การก้าวสู่เส้นทางน้ำหมึกนี้เต็มไปด้วยอุปสรรคขากหนามอันชวนให้ท้อทั้และถดถอย ยิ่งเขา-ผู้ซึ่งมีต้นทุนน้อย ทั้งโภคทรัพย์ ญาติ มิตร และการศึกษา อุปสรรคก็ยิ่งเพิ่มเป็นทวีคูณ ชีวิตระหกระเหินของเขาผ่านการทำมาหากินมากมายหลายอาชีพ ตั้งแต่เป็นเสมียนในสำนักงานจัดหางาน พนักงานเสิร์ฟ เด็กฝึกงานในโรงงานแบตเตอรี่ พนักงานแบกลังน้ำปลา คนทำลูกชิ้นและขายก๋วยเตี๋ยว คนดูแลนากุ้ง ลูกเรือหาปลาล่องทะเลลึก ไปจนกระทั่งเป็นยาม ในระหว่างการประกอบอาชีพเพื่อเลี้ยงชีวิต เขาก็เลี้ยงวิญญาณและความใฝ่ฝันด้วยการอ่านหนังสือจากห้องสมุด จากร้านหนังสือเช่า และจากการซื้อหาตามที่พอจะมีกิน ประสบการณ์จากการอ่านและประสบการณ์ชีวิตทั้งของตนเองและจากการเฝ้าสังเกตชีวิตของผู้อื่น ล้วนเป็นวัตถุดิบชั้นดีสำหรับเขียนหนังสือ ความโดดเด่นของนวนิยายเรื่องนี้อยู่ที่การตีแผ่ชีวิตที่ล้มลุกคลุกคลานครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไม่ปิดบัง แต่ในโชคมีเคราะห์และในเคราะห์ก็มีโชค ชีวิตมีสุขมีเศร้า มีปวดร้าว มีปิติ มีสูญสิ้นมีวาดหวัง เวียนไปให้เห็นสัจธรรม ดังนั้นแม้เขาจะท้อแท้แต่ไม่ท้อถอย การลุกขึ้นสู่ชีวิตอย่างไม่ย่อท้อต่อความทุกข์ที่รุมกระหน่ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าจึงกินใจผู้อ่านและขณะเดียวกันให้กำลังใจผู้ที่กำลังโต้คลื่นชีวิตให้ยืนหยัดต่อไป ผู้เขียนกล่าวไว้ว่า “ชีวิตมหัศจรรย์และทรงคุณค่ายิ่ง แม้จมลงในหุบเหวที่ลึกแค่ไหนเพียงใด ยังมีแรงตะกายกลับสู่เบื้องบน เปรอะเปื้อนความผิดพลาดกี่หนยังพยายามฟอกตัวเองให้กลับมาเริ่มต้นใหม่ ผ่านแรงกระทบกระแทกซ้ำแล้วซ้ำอีก ยังกลับมาหยัดยืนได้อีกครั้ง ลื่นล้มและตกจากที่สูงกี่ครา ประกายแสงของมันไม่ยอมหรี่ดับลงโดยง่าย”  ผู้อ่านได้ประจักษ์ในความมหัศจรรย์และคุณค่าของชีวิตเฉกเช่นเดียวกันกับที่ผู้เขียนกล่าวไว้ นวนิยายเรื่องนี้มีเสน่ห์ที่กลวิธีการเขียน เพราะผู้เขียนคัดสรรบางช่วงตอนของชีวิตมาเล่าให้ผู้อ่านปะติดปะต่อกันเป็นเรื่องราวเอาเอง ราวกับจะบอกว่าชีวิตจริงยิ่งกว่านิยาย บทจบและบทเริ่มต่อเนื่องกันราวกับจะบอกเป็นนัยว่าการเขียนฝันด้วยชีวิตยังไม่มีบทจบ หากต้องดำเนินต่อไป เขียนฝันด้วยชีวิตเป็นนวนิยายอัตชีวประวัติที่สะท้อนให้เห็นว่าไม่ว่าจะเป็นความฝันของใคร ความฝันนั้นก็ยิ่งใหญ่และมีคุณค่า แต่สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าคือชีวิตที่กอปรด้วยความมานะบากบั่นที่จะทำความฝันกลายเป็นจริง ยิ่งสำหรับนักเขียนด้วยแล้ว ความฝันไม่มีวันจบ ต้องเขียนฝันด้วยชีวิต และทั้งชีวิต

เล่นเงา

นวนิยายสะท้อนรากเหง้าของปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ที่เกิดจากความล่มสลายของสถาบันหลักในสังคม   ไม่ว่าจะเป็นทหารกดขี่รังแกประชาชน   ข้าราชการฉ้อฉลเอาเปรียบ   พระสงฆ์ทุศีลที่มัวเมากับราคะ   และครูที่ล่อลวงลูกศิษย์   และที่ลึกลงไปในพฤติกรรมของบุคคลเหล่านี้คือกิเลสตัณหาที่ไม่มีวันจบสิ้น  จึงล่อลวงให้มนุษย์เห็นถูกเป็นผิด  ผิดเป็นถูก  ปัญหาจึงสั่งสมโดยไม่มีวันแก้ไข ผู้เขียนนำเสนอความเลวร้ายในชุมชนแห่งหนึ่ง  ผ่านสายตาและการบอกเล่าของตัวละคร 2 ตัว  หนึ่งคือ ไอ้เท่ง  ตัวตลกในหนังตะลุง   อีกหนึ่งคือลุงส่ง ชายขี้เมาขาพิการ   ไอ้เท่งเป็นตัวตลกไร้ชีวิตที่มีเพียงเงาโลดเต้น   เป็นเหมือนจิตวิญญาณที่ห่วงใยชาวบ้านชุมชน  แต่ เมื่อเป็นเพียงเงา  และตัวตลก   คำบอกเล่าของไอ้เท่งจึงเหมือนนิยายโกหกที่ไม่มีใครเชื่อ  เช่นเดียวกับลุงส่ง  คนพิการขี้เมาที่ไม่มีใครเชื่อคำพูด  ดังนั้นแม้เขาจะชี้ตัวเจ้าอาวาสทุศีลและครูใหญ่กระหายกามว่าเป็น  “ผู้ร้าย”  ในชุมชน  แต่ทุกคนก็เห็นว่าเป็นเรื่องเหลวไหล   การเลือกไอ้เท่งและลุงส่งเป็นผู้เล่าเรื่องจึงตอกย้ำการที่ผู้คนปฏิเสธที่จะเข้าถึงความจริง  ความเลวร้ายจึงฝังรากลึกต่อไปตราบนานเท่านาน  น่าเสียดายที่ผู้เขียนทิ้งตัวละครนี้ไปในตอนท้ายเรื่อง  บทจบจึงไม่สวยงามเท่าที่ควร การเลือกใช้กลวิธีเหนือจริงเพื่อบอกกล่าวความจริงนับเป็นกลวิธีทางวรรณศิลป์ที่โดดเด่นของนวนิยายเรื่องนี้   นอกจากผู้เล่าเรื่อง  การสร้างบรรยากาศ  และเหตุการณ์อาเพศผิดธรรมชาติแล้ว  การให้แม่เฒ่าเปาะเจ๊ะหอนทุกปีเมื่อถึงวันครบรอบการตายของลูกชาย  ก็สร้างบรรยากาศลี้ลับชวนสยอง   แต่เป็นกลวิธีที่แสดงให้เห็นว่าชาวบ้านได้ต่อสู้กับความอยุติธรรมด้วยวิธีอหิงสา  เสียงหอนของยายเฒ่าเรียกร้องความชอบธรรมให้ลูกชายที่ถูกทหารพรากชีวิตอย่างโหดเหี้ยม   เพราะทุกปีผู้คนก็จะหยิบยกเรื่องนี้มาพูดกันอีกครั้งและอีกครั้ง  ความตายของผู้บริสุทธิ์จึงไม่เคยถูกลืม อย่างไรก็ตาม   แม้นวนิยายเรื่องนี้จะแสดงความมืดดำของชีวิต  ความเลวร้ายในจิตใจของผู้คน  และความจริงที่เป็นเพียงเงาที่จับต้องไม่ได้   แต่ท้ายที่สุด  ผู้เขียนก็ยังฝากความหวังไว้กับคนรุ่นใหม่  ที่จะกล้ากบฏต่ออำนาจและมายาคติที่ทำให้เกิดการแบ่งแยก  เพื่อว่าในที่สุดแล้วเราจะมีสังคมใหม่ที่ดีกว่าเดิม นวนิยายเรื่องเล่นเงา ของจิรภัทร อังศุมาลี จึงสมควรรับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 รางวัลเซเว่น              บุ๊คอวอร์ด ประจำปี 2551

สะพานแสงคำ

สะพานแสงคำเป็นนวนิยายรัก ซึ่งผู้เขียนนำเรื่องราวในอดีตช่วงที่รัฐต่าง ๆ แถบล้านนากำลังเผชิญกับวิกฤตการณ์ครั้งสำคัญ เมื่อลัทธิล่าอาณานิคมของชาติตะวันตกแผ่มาถึงพร้อม ๆ กับการขยายอิทธิพลของรัฐใหญ่อย่างสยาม มาโยงใยเข้ากับยุคปัจจุบันซึ่งผู้คนต่างก็ต้องต่อสู้ดิ้นรนเพื่อดำเนินชีวิตในโลกที่ลัทธิทุนนิยมและวัตถุนิยมกำลังครอบงำอยู่   โดยมี “สะพานแสงคำ” ในภาพเขียนภาพหนึ่งเป็นทางเชื่อม เมื่อใดที่เมษาริน ตัวละครเอกของเรื่องก้าวข้ามสะพานนั้น เธอก็ได้เดินทางย้อนเวลาไปกว่าร้อยปี ได้เข้าไปเป็นพยานร่วมรู้เห็นเส้นทางชีวิตของ “คำประพาฬ”  หรือ “เจ้าเอื้อย” เจ้าหญิงแห่งรัฐล้านนา ตั้งแต่ยังเป็นเด็กหญิงตัวน้อยจนเติบใหญ่เป็นหญิงสาวผู้งามพร้อม และในขณะเดียวกันก็ได้ร่วมสัมผัสกับโลกรอบตัวของเจ้าหญิง  ซึ่งมีทั้งความขัดแย้งทางการเมือง การช่วงชิงผลประโยชน์ ความรัก ความแค้น ความเกลียดชัง  และการทรยศหักหลัง      การเดินทางข้าม “สะพานแสงคำ”  กลับไปสู่อดีตแต่ละครั้ง  ไม่เพียงทำให้ “เมษาริน” (และผู้อ่าน)ได้รับรู้และระทึกใจไปกับชะตากรรมของเจ้าเอื้อยรวมทั้งเหตุการณ์บ้านเมืองของยุคนั้นเท่านั้น    แต่ยังทำให้เธอมองผู้คนและภาวะการณ์ที่แวดล้อมตัวเธออยู่ในโลกปัจจุบันด้วยทัศนะที่แจ่มกระจ่างขึ้นเรื่อย ๆ  จนนำไปสู่การเข้าใจ “ความจริงและความลวง” ในตอนสุดท้ายของเรื่อง ปิยะพร ศักดิ์เกษม ได้ค้นคว้าหาข้อมูลและใช้ความสามารถในเชิงวรรณศิลป์พรรณนาภาพเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์สมัยนั้นอย่างมีชีวิตชีวาและสมจริง ทั้งยังสอดรับกับเรื่องราวและตัวละครที่เธอจินตนาการขึ้นได้แนบเนียนลงตัว   ทำให้สะพานแสงคำ เป็นนวนิยายรักข้ามภพข้ามเวลาที่มีเสน่ห์ชวนติดตาม สมควรได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 รางวัลเซเว่นบุ๊คอวอร์ด ประจำปี 2551

ยิ่งฟ้ามหานที

ปัญหาเกี่ยวกับผู้สูงอายุนับเป็นปัญหาใหญ่ปัญหาหนึ่งที่เกิดในสังคมที่วิทยาการด้านสาธารณสุขมีความเจริญก้าวหน้าอย่างสูง   คนอายุยืนขึ้นทำให้ผู้สูงอายุมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น   และในขณะเดียวกันสังคมมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างครอบครัว  ครอบครัวมีลักษณะเป็นครอบครัวเดี่ยวมากยิ่งขึ้น  ลูกแต่งงานแล้วแยกย้ายจากครอบครัวของพ่อแม่ออกไปสร้างครอบครัวใหม่ของตนเอง  ทำให้การดูแลพ่อแม่ผู้สูงอายุท้าทายสำนึกความคิดและการตัดสินของผู้เป็นลูก นวนิยายเรื่องยิ่งฟ้ามหานที ของกนกวลี  พจนปกรณ์  นำเสนอปัญหาเหล่านี้ไว้อย่างเข้มข้นผ่านเรื่องราวของครอบครัวหนึ่งที่มีแม่เป็นอัมพาตครึ่งซีกเพราะเส้นโลหิตในสมองแตก   กำไลแก้วลูกสาวคนสุดท้องซึ่งยังเป็นโสดเป็นผู้ดูแลแม่เพราะพี่น้องคนอื่นต่างมีภาระเรื่องครอบครัวของตน  ครอบครัวนี้ไม่มีปัญหาด้านการเงินที่ต้องใช้ในการดูแลรักษาพยาบาลแม่ผู้เจ็บป่วย เพราะพี่ ๆ มีฐานะมั่งคั่งจึงยินดีรับภาระค่าใช้จ่ายทุกอย่างซึ่งเป็นเงินจำนวนมาก   แต่ทิ้งภาระการพยาบาลดูแลเป็นของน้องสาว  กำไลแก้วมีงานทำในบริษัทต่างชาติแห่งหนึ่ง  และกำลังตกหลุมรักชายคนหนึ่งอย่างจริงจัง  การดูแลแม่ซึ่งเจ็บป่วยทางกายยังไม่หนักหนาเท่ากับการดูแลจิตใจที่เปราะบาง  เพราะร่างกายที่เจ็บป่วยพลอยทำให้จิตใจของนางอุบลป่วยไข้ไปด้วย   นอกจากควบคุมระบบต่าง ๆ ในร่างกายไม่ได้แล้ว  นางยังควบคุมอารมณ์ตนเองไม่ได้  และเรียกร้องให้กำไลแก้วอยู่ใกล้ชิดตลอดเวลา  กำไลแก้วจึงอยู่ในภาวะถูกกดดันจากแม่  จากคนรัก  และจากความเข้มงวดของเจ้าของบริษัท  ดังนั้น  โครงการพาแม่ไปอยู่ที่สถานพยาบาลที่พี่ ๆ เคยนำเสนอจึงถูกรื้อฟื้นมาทบทวนกันใหม่อีกครั้ง  และในที่สุดลูก ๆ ทุกคนเห็นพ้องว่าการที่แม่อยู่ในสถานพยาบาลเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน เพราะแม่จะได้รับการดูแลจากแพทย์และพยาบาลตลอดเวลา  ส่วนลูก ๆ จะได้ดำเนินชีวิตของตนเองได้อย่างอิสระ  แต่หลังจากนั้นกำไลแก้วก็พบว่าเป็นการตัดสินใจที่ผิด นวนิยายเรื่องนี้แสดงความขัดแย้งในใจของตัวละครผู้เป็นแม่และผู้เป็นลูกโดยเฉพาะกำไลแก้วที่เป็นตัวเอกของเรื่องจนทำให้ผู้อ่านสะเทือนอารมณ์อย่างยิ่ง   ความรักของแม่ที่ไม่อยากให้ลูกลำบากกายลำบากใจ และความรู้สึกผิดในใจของลูกที่ไม่ทุ่มเทเสียสละอย่างเต็มที่เพื่อแสดงความรักและความกตัญญูต่อแม่   เชือดเฉือนใจผู้อ่านให้แทบน้ำตารินไปพร้อมกับตัวละคร   ผู้เขียนใช้ภาพเปรียบเทียบครอบครัว  2 ครอบครัวที่มีปัญหาการดูแลคนในครอบครัวที่เป็นอัมพาตเหมือนกัน  ครอบครัวของอมาตย์ดูแลพี่ชายที่เป็นอัมพาตด้วยความรักความเอาใจใส่อย่างใกล้ชิดจนวาระสุดท้ายของชีวิต   ทุกคนดีใจที่มีโอกาสมอบความรักให้คนที่ตนรักได้อย่างเต็มที่   ไม่ต้องเสียใจหรือเสียดายภายหลัง    ส่วนครอบครัวของกำไลแก้วให้แม่ไปอยู่สถานพยาบาลที่เลือกเฟ้นอย่างดี   แต่เมื่อกำไลแก้วรับรู้และมองเห็นสายใยแห่งความรักที่อวลอุ่นอยู่ในบ้านของอมาตย์ก็ทำให้กำไลแก้วมีกำลังใจ  และมองเห็นหนทางคลี่คลายปัญหาของตนเพื่อที่จะได้ดูแลแม่อย่างใกล้ชิดที่บ้านตลอดไป ยิ่งฟ้ามหานทีเป็นนวนิยายสะท้อนสังคมที่เสนอให้เห็นว่าแม้การส่งบุพการีผู้ชราและเจ็บป่วยไปอยู่สถานพยาบาลจะเป็นทางเลือกหนึ่งที่สะดวกสำหรับคนในสังคมไทยปัจจุบัน   แต่น่าจะเป็นเพียงทางเลือกสุดท้าย  เพราะแท้ที่จริงแล้วผู้เป็นลูกยังมีทางออกที่งดงามอยู่  ขอเพียงแต่ยึดมั่นในความรักต่อพ่อแม่   ยอมเสียสละความสุขส่วนตนเพราะเป็นโอกาสสุดท้ายแล้วที่จะได้ตอบแทนความรักอันยิ่งใหญ่ของบุพการี ด้วยคุณค่าด้านเนื้อหา ความคิด และกลวิธีทางวรรณศิลป์ นวนิยายเรื่องยิ่งฟ้ามหานที จึงได้รับการตัดสินให้ได้รับรางวัลชนะเลิศ รางวัลเซเว่นบุ๊คอวอร์ด ประจำปี 2551

มหาสมุทรสุดลึกล้นฯ

‘มหาสมุทรสุดลึกล้นฯ’ ของ ‘สีฟ้า’ เป็นนวนิยายที่สะท้อนภาพเมืองไทยในยุคปัจจุบัน ทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม วิถีชีวิต ความเชื่อ ตลอดจนคตินิยม ของผู้คนทั้งในเมืองและชนบท ทั้งผู้ที่ทำหน้าที่ในการปกครองท้องถิ่นหรือประเทศชาติกับราษฎรที่อยู่ภายใต้การปกครองดังกล่าว ‘มหาสมุทรสุดลึกล้นฯ’ เป็นนวนิยายแนวอุดมคติซึ่งให้ข้อคิดและมุมมองอันทรงคุณค่า ขณะเดียวกันก็เป็นกำลังใจแก่ผู้ที่เสียสละผลประโยชน์และความสุขส่วนตนเพื่อธำรงไว้ซึ่งอุดมการณ์และความถูกต้อง รวมทั้งย้ำเตือนให้ตระหนักว่าจิตของมนุษย์นั้น แม้จะเป็นคนที่ใกล้ชิดหรือสนิทสนมกันเพียงไรก็ยังยากจะหยั่งถึง

ร้านหัวมุม

นวนิยายเรื่องนี้ เป็นเรื่องราวของผู้หญิงสาวที่ดำเนินธุรกิจร้านขายเบเกอรี่เล็ก ๆ ซึ่งต้องต่อสู้กับการแข่งขันกับธุรกิจข้ามชาติขนาดใหญ่ ด้วยความมุ่งมั่นทำให้เธอฝ่าฟันอุปสรรคทางธุรกิจไปได้  นอกจากนี้     ยังเป็นนวนิยายอ่านสนุก ด้วยเรื่องราวความรักของตัวละครเอก ผู้ประพันธ์มีความสามารถในการใช้ภาษาที่ละเมียดละไม มีอารมณ์ขัน สามารถทำให้ผู้อ่านเพลิดเพลินไปได้ตลอดทั้งเรื่อง

นวัต-กรรม 4.0

นวัต-กรรม 4.0 เป็นนวนิยายสะท้อนภาพสังคมสมัยใหม่ที่วิทยาการและเทคโนโลยีล้ำยุคเข้ามามีบทบาทกำหนดวิถีการดำเนินชีวิตของคนในสังคม ข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์รวมทั้งอุปกรณ์ประกอบที่ช่วยให้การค้นหาข้อมูลข่าวสาร การติดต่อสื่อสาร และการแสวงหาความบันเทิงหลากหลายรูปแบบเป็นไปได้อย่างง่ายดายและกว้างขวาง  โทรศัพท์มือถือที่มีคุณสมบัติและหน้าที่การใช้งานเท่าเทียมกับคอมพิวเตอร์เครื่องเล็ก ๆ  เครื่องหาตำแหน่งที่ตั้งด้วยดาวเทียมหรือจีพีเอส แม้กระทั่งความก้าวหน้าทางการแพทย์ที่ไม่เพียงสามารถรักษาโรคภัยต่าง ๆ แต่ยังสามารถเปลี่ยนแปลงเพศของมนุษย์ได้อีกด้วย  สิ่งเหล่านี้ ในด้านหนึ่งย่อมช่วยให้คุณภาพชีวิตของผู้ที่เข้าถึงได้สะดวกสบายและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน ก็ส่งผลให้คนต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตของตนไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น ชัยกร หาญไฟฟ้า นำชีวิตของคนที่เชื่อและใช้ประโยชน์ของเทคโนโลยีดังกล่าวมาสนองความต้องการและแก้ปัญหาในชีวิตของตนในรูปแบบต่าง ๆ มาผูกเป็นเรื่องราว  โดยเริ่มจากภาพที่ดูกระจัดกระจาย แล้วค่อย ๆ เลื่อนเข้ามาสัมพันธ์กัน คล้ายกับการต่อภาพจิ๊กซอว์ จนนำไปสู่จุดสุดท้ายของเรื่อง ทำให้ผู้อ่านได้ภาพที่สมบูรณ์ของนวนิยายเรื่องนี้ในที่สุด    ผู้เขียนใช้วิธีการเล่าเรื่องผ่านประสบการณ์และความคิดของตัวละครหลักที่ต่างก็มีแนวทางการดำเนินชีวิต ปมปัญหา และวิธีแก้ปัญหาต่างกันไป                  ตัวละครทุกตัว รวมทั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นล้วนเป็นคนและเรื่องธรรมดาสามัญที่เราอาจพบเจอได้เสมอในสังคมปัจจุบัน  แต่เมื่อนำมาเรียงร้อยอยู่ในรูปนวนิยาย ชัยกร หาญไฟฟ้าก็ทำให้ผู้อ่านตระหนักถึงแง่มุมและหลุมพรางบางประการของเทคโนโลยีสมัยใหม่  ซึ่งจะทำให้เราก้าวไปข้างหน้า นวัต-กรรม 4.0 จึงไม่เป็นเพียงนวนิยายที่อ่านสนุกเท่านั้น แต่ยังทำให้เราฉุกคิดและตั้งคำถามกับหลายสิ่งหลายอย่างที่เราประสบอยู่ทุกวันนี้ด้วย

ตะวันเบิกฟ้า

ตะวันเบิกฟ้า  บทประพันธ์ของปิยะพร  ศักดิ์เกษม  เป็นเรื่องราวของชีวิตในครอบครัวใหญ่ที่ฉายภาพของสังคมไทยในช่วง พ.ศ. 2498 ถึงราว พ.ศ.2506  อันเป็นช่วงเหตุการณ์ที่สังคมไทยเพิ่งผ่านพ้นสงครามโลกครั้งที่สองมา ความผันผวนของเหตุการณ์ในสังคมไทยขณะนั้นได้ส่งผลกระทบต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของคนไทยโดยส่วนรวม  แต่ทว่าครอบครัวใหญ่ซึ่งมีประมุขของครอบครัวเป็นคนเด็ดขาด  เรียบง่าย วางชีวิตของทุกคนในครอบครัวให้ดำรงอยู่ได้ด้วยระเบียบของศีลธรรมจรรยา อีกทั้งยังแก้ไขปัญหาของครอบครัวอย่างใช้สติปัญญา จึงประคับประคองให้ชีวิตของทุกคนในครอบครัวดำเนินไปด้วยความผาสุก  แต่กระนั้นผู้ประพันธ์ก็ชี้ให้เห็นว่าคนในครอบครัวเดียวกัน ก็มิได้มีความคิดและแนวทางในการดำเนินชีวิตในทางเดียวกัน  ผู้ประพันธ์ได้สร้างตัวละครที่เป็นคู่เปรียบเทียบอันแสดงให้เห็นถึงฝ่ายที่ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและมีสติ  กับอีกฝ่ายที่ดำเนินชีวิตอยู่ในความลุ่มหลง  ปล่อยให้โมหะและโทสะเข้าครอบงำ จนกระทั่งต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในที่สุด นวนิยายเรื่องตะวันเบิกฟ้า  จึงเป็นนวนิยายที่ชี้ให้เห็นถึงปรัชญาการดำเนินชีวิตในทางที่ถูกที่ควร และเป็นนวนิยายที่แสดงให้เห็นว่าชีวิตมนุษย์ล้วนตกอยู่ภายใต้เงื่อนไขของครอบครัว  ความรัก  สังคม  เครือญาติ  และแม้กระทั่งจิตใจตนเอง  ปัจจัยเหล่านี้ทำให้มนุษย์ตกอยู่ภายใต้ชะตากรรมบางอย่าง  มนุษย์จึงจะต้องใช้ชีวิตอย่างมีสติและมีปัญญา จุดเด่นของนวนิยายเรื่องนี้คือกลการประพันธ์ซึ่งเสนอให้เห็นถึงวิธีการเล่าเรื่องที่ค่อย ๆ เปิดเผยบุคลิกลักษณะของตัวละครให้ผู้อ่านได้ทราบและติดตาม โดยการใช้ลีลาภาษาที่เปี่ยมไปด้วยวรรณศิลป์  เป็นภาษาเก็บละเอียดทำให้ผู้อ่านเห็นภาพตามที่ผู้ประพันธ์ต้องการสื่อออกมา และยังนำเรื่องราวในอดีตอันเป็นรายละเอียดของฉากในเรื่องมาสอดแทรกไว้ได้อย่างเหมาะเจาะลงตัว นวนิยายเรื่องตะวันเบิกฟ้า จึงเป็นนวนิยายที่มีแง่งามทั้งทางด้านวรรณศิลป์  เป็นนวนิยายที่เสนอให้เห็นมุมมองเกี่ยวกับชีวิตอันจะเป็นแบบอย่างให้แก่ผู้อ่านได้ และยังเป็นนวนิยายที่มีคุณค่าในฐานะบันทึกประวัติศาสตร์สังคมได้อย่างมีชีวิตชีวาอีกด้วย

ลับแล, แก่งคอย

ลับแล,แก่งคอย  นวนิยายของอุทิศ  เหมะมูล  เป็นเรื่องราวของเด็กหนุ่มวัยรุ่นที่พยายามขัดขืนกรอบชีวิตตามแนวทางเข้มงวดที่พ่อกำหนดให้   การหมกมุ่นอยู่กับความสูญเสียและความผิดหวังในชีวิตทำให้ตัวละครสร้างโลกจินตนาการเพื่อลวงตัวเองและลวงคนอื่น   เขามีความสุขกับโลกลวงที่ทำให้สามารถกล่าวโทษคนอื่นได้สะใจ   ทั้งพ่อผู้มีอัตตาสูง  และแม่ผู้อ่อนแอ  รวมทั้งแฝงตัวเป็นคนอื่นเพื่อปฏิเสธความเลวร้ายต่าง ๆ ที่ตนเองกระทำ   ชีวิตอันสับสนของตัวละครคลี่คลายลงได้ก็ด้วยการมีสติ  คือ ความรู้ตัว  และปัญญา  คือ ความรู้ทั่ว  ทำให้ได้คิดอย่างมีเหตุมีผล  ไม่งมงาย  เพื่อยืนหยัดและยืนยันตัวตนแท้จริง นวนิยายเรื่องนี้ใช้กลวิธีการเล่าเรื่องสลับตัดฉากไปมาระหว่างอดีตกับปัจจุบัน และจงใจให้รายละเอียดของเรื่องราวต่าง ๆ มาก  เหมือนกับจะแสดงให้เห็นว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับบุคคลหนึ่งมีผลสะเทือนถึงคนอื่น ๆ และสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตมีผลสะท้อนถึงปัจจุบัน   แม้ผู้เขียนจะเล่าเรื่องผ่านมุมมองของตัวละครเอก ซึ่งน่าจะทำให้ผู้อ่านคล้อยตามความคิดของตัวละครนั้น  แต่ในขณะเดียวกันผู้เขียนมีชั้นเชิงความสามารถที่ทำให้ผู้อ่านเข้าใจพฤติกรรมและอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครอื่น ๆ ในแง่มุมที่แตกต่างไป  ตัวละครในเรื่องจึงมีมิติลึกและซับซ้อนเช่นเดียวกับมนุษย์จริง  การแสดงให้เห็นว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือเรื่องใดเรื่องหนึ่งมีหลายมุมมองยังมีแทรกอยู่อีกหลายเรื่องหลายเหตุการณ์  รวมทั้งการที่ตัวละครผ่านพ้นวิกฤติชีวิตมาได้  แต่จะด้วยจิตบำบัด  ความเชื่อไสยศาสตร์  หรือหลักธรรมทางพุทธศาสนาก็แล้วแต่จะมองจากมุมของใคร  นอกจากนี้  ในระหว่างเรื่องเล่าของตัวละครเอก  นวนิยายเรื่องนี้ยังบอกเล่าถึงความเคลื่อนไหวของสังคมไทยรวมทั้งความไม่เที่ยงแท้แน่นอนของสรรพสิ่ง  และความเปราะบางของความสัมพันธ์ของมนุษย์  ที่อาจแตกหักลงง่าย ๆ เพียงเพราะยึดมั่นอยู่ในความคิดและวิถีทางของตนเอง นวนิยายเรื่องนี้มีเสน่ห์ทางวรรณศิลป์ที่การสร้างความคลุมเครือให้แก่ตัวละครและเหตุการณ์อยู่ตลอดทั้งเรื่อง  กล่าวได้ว่าผู้เขียนจงใจเล่นกับความจริงและความลวง   เพื่อแสดงให้เราเห็นว่าเมื่อสกัด            สิ่งลวงต่าง ๆ ในชีวิตออกไปแล้ว  ความจริงของชีวิตคือความงดงาม   เฉกเช่นประติมากรที่สกัดส่วนเกินบนแท่งหินอ่อน  เพื่อให้ได้รูปแกะสลักที่งดงามที่สุด

บุพเพสันนิวาส

บุพเพสันนิวาส  เป็นนวนิยายอิงประวัติศาสตร์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเหตุการณ์ในยุคอยุธยารัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช  ผู้แต่งนำเสนอเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสมัยดังกล่าวผ่านพฤติกรรม มุมมอง และความรู้สึกนึกคิดของตัวละครเอกซึ่งเป็นคนในปัจจุบันสมัยที่ข้ามภพไปมีชีวิตอยู่ในโบราณสมัย  ทำให้เห็นความแตกต่างกัน ในด้านสังคมและวัฒนธรรมอันเนื่องด้วยเงื่อนไขแห่งกาลเวลา  ลักษณะเนื้อหาของนวนิยายเรื่องนี้จึงน่าสนใจ   ชวนอ่านชวนติดตาม ความเด่นของนวนิยายเรื่องบุพเพสันนิวาสอยู่ที่ผู้แต่งได้พยายามศึกษาค้นคว้าหลักฐานทางประวัติศาสตร์และสังคม  นำมาเป็นข้อมูลหลักผสมผสานกับจินตนาการของตน  แล้วสร้างสรรค์องค์ประกอบต่างๆ ขึ้นสื่อแสดงเรื่องราว  ภาพ  และบรรยากาศของสังคมในยุคอยุธยาได้อย่างสอดคล้องกลมกลืน  ด้วยการใช้สำนวนภาษาที่สมสมัย  ด้วยลีลาที่มีชีวิตชีวาและมีอารมณ์ขันทำให้อ่านได้สนุกสนานเพลิดเพลิน  จึงนับได้ว่าบุพเพสันนิวาสเป็นนวนิยายย้อนยุคที่ทรงคุณค่าเรื่องหนึ่งในปัจจุบัน

ธนูสายฟ้า

ธนูสายฟ้า เป็นผลงานประพันธ์ของมาลา คำจันทร์  นวนิยายเรื่องนี้ได้นำพาผู้อ่านกลับไปสู่โลกของนิทานพื้นบ้านในอดีต แม้ผู้ประพันธ์จะใช้รูปแบบการนำเสนอแบบนวนิยายสมัยใหม่ แต่กลการประพันธ์ของนวนิยายเรื่องนี้สืบขนบการแต่งเรื่องแบบนิทานอย่างชัดเจน  ดังจะเห็นว่าผู้ประพันธ์ได้สร้างเนื้อหาให้เวียนวนอยู่ในโลกของจินตนาการมากกว่าความสมจริง  มีการสร้างตัวละครแบบวีรบุรุษ  การใช้อนุภาคของนิทานพื้นบ้าน เช่น การซ่อนตัวของตัวละคร การติดตามหาของวิเศษ การพบและพลัดพราก การสร้างฉากมหัศจรรย์ การสร้างตัวละครอมนุษย์ ฯลฯ ผู้ประพันธ์ได้สร้างสรรค์จินตนาการแปลกๆ ใหม่ๆ โดยนำมาผสานกับคติชนของล้านนาและการที่ผู้ประพันธ์ใช้ภาษาถิ่นล้านนาสอดแทรกอยู่ตลอดเรื่อง ทั้งในด้านคำศัพท์และความเปรียบ ทำให้นวนิยายเรื่องนี้  มีความโดดเด่นด้านการแสดงสีสันของท้องถิ่นอีกด้วย ธนูสายฟ้า จึงนับเป็นตัวอย่างของงานวรรณกรรมที่ “เล่น” และ “ล้อ” กับขนบการประพันธ์ในอดีตและทำให้ประจักษ์ว่าในโลกสมัยใหม่ นิทานยังมีบทบาทในด้านการสร้างจินตนาการและความบันเทิงให้แก่คนในสังคม

เสือเพลินกรง

เสือเพลินกรง  บทประพันธ์ของผาด  พาสิกรณ์   นักเขียนหน้าใหม่ในวงวรรณกรรม  แต่หากบอกว่าชื่อจริงของเขาคือ วิษณุฉัตร  วิเศษสุวรรณภูมิ   คงไม่แปลกใจนักว่าเขาเป็น  “ลูกไม้ที่หล่นไม่ไกลต้น” เสือเพลินกรง  เป็นนวนิยายเรื่องแรกของผาด  พาสิกรณ์   ลงพิมพ์เป็นตอน ๆ ในนิตยสารรายปักษ์เป็นเวลา 2 ปีกว่า จึงนำมารวมเล่มเป็นหนังสือหนา 734 หน้า   นวนิยายเรื่องนี้บอกเล่าเรื่องราวของกลุ่มสหาย 6 คน ที่หัวหกก้นขวิดด้วยกันในโรงเรียนประจำมาตั้งแต่เรียนชั้นประถม  ต่อมาสองคนถูกแยกกลุ่มส่งตัวไปเรียนในต่างประเทศเมื่อจบชั้นมัธยมสามเพราะความ “เฮี้ยวเกินพิกัด” จนโรงเรียนต้องเชิญออก หนุ่มห้าวกลุ่มนี้  ต่างคนต่างเติบโตมีวิถีชีวิตและอาชีพการงานของตน   มูลเหตุที่ดึงให้ผองเพื่อนทั้ง 6 คนกลับมาร่วมทุกข์ร่วมสุขกันอย่างใกล้ชิดอีกครั้งเริ่มจากเพื่อนคนหนึ่งต้องรับหน้าที่ดูแลลูกสาวของเพื่อนอีกคนหนึ่งที่ฝากฝังไว้ก่อนทำตัวหายสาบสูญไปจากสังคมตัวละคร    ผู้เล่าเรื่องจึงต้องวุ่นวายกับการทำหน้าที่ “พ่อ” ให้เด็กสาววัยรุ่นไปพร้อมกับการผจญกับปัญหากลยุทธ์ทางธุรกิจในบริษัทโฆษณาที่ตนทำอยู่   การสืบหาข่าวคราวของเพื่อนผู้ทำตัวสาบสูญ    การหวนคิดย้อนคืนกลับไปสู่อดีตเยาว์วัยอันโลดโผนของตนและผองเพื่อน และการตัดสินใจกำหนดเส้นทางชีวิตในอนาคตของตน นวนิยายเรื่อง เสือเพลินกรง สร้างความบันเทิงแก่ผู้อ่านด้วยอารมณ์ที่คละเคล้ากันระหว่างความซาบซึ้งใจในมิตรภาพของผองเพื่อนผู้เกื้อกูลกันอย่างไม่มีข้อจำกัด  และความหวานซึ้งของความรักต่างวัยที่ค่อยๆ กระชับระยะห่างจนใกล้ชิดด้วยการเปิดใจและเข้าใจ   นอกจากนี้ยังเจือความเข้มทางอารมณ์ด้วยการเผยข้อมูลเล่ห์เหลี่ยมกลยุทธ์ของการโฆษณาที่เอารัดเอาเปรียบผู้บริโภคล่อหลอกเด็กและเยาวชนให้หมกมุ่นอยู่กับรสนิยมและค่านิยมที่ไม่ถูกต้อง  อีกทั้งยังระทึกใจกับการคลี่คลายเรื่องราวของเพื่อนผู้สาบสูญที่บรรดาเพื่อน ๆ ช่วยกันแกะรอยจากหลักฐานต่าง ๆ ที่ทิ้งไว้อย่าง    แยบยล สาระและบันเทิงของนวนิยายเรื่องนี้ถูก “ปรุงรส”  ด้วยกลวิธีทางวรรณศิลป์ที่นวลเนียนด้วยการสร้างตัวละครมีชีวิตชีวามีบุคลิกเฉพาะตัว   เวลาในเรื่องที่ตัดสลับไปมาระหว่างอดีตและปัจจุบันบทสนทนาที่ใกล้เคียงคำพูดที่ใช้ในชีวิตจริงเหมาะสมกับกาลเทศะและบุคลิกของตัวละคร การแทรกทัศนะวิพากษ์วิจารณ์สังคม  อย่างแหลมคมชวนคิด   การแฝงอารมณ์ขันในถ้อยคำสำนวนที่สร้างสรรค์ขึ้นใหม่  และการสร้างลีลาภาษาเฉพาะตัวที่โดดเด่นจนเป็นอัตลักษณ์   ซึ่งสะท้อนพรสวรรค์ความเป็นนักเขียนอย่างชัดเจนทั้ง ๆ ที่เป็นผลงานเขียนเรื่องแรก แม้นวนิยายเรื่อง เสือเพลินกรง จะเป็นเรื่องราวของคนกลุ่มเล็ก ๆ กลุ่มหนึ่ง  แต่ก็ชวนให้ผู้อ่านคิดไกลไปว่าเราทั้งผองต่างเพลิดเพลินอยู่ในกรอบกรงของสังคม  จนอาจลืมคิดไปว่าการใช้ชีวิตอย่างมีอิสระเสรีนั้นเป็นอย่างไร   ดังนั้นเพียงแค่เราใจกล้าพอที่จะทลายกรอบกรงนั้น   เราก็จะได้ลิ้มรสความหวานหอมของอิสรภาพแห่งชีวิต ด้วยคุณค่าโดดเด่นทางด้านเนื้อหา  ความคิด  ภาษาและกลวิธีทางวรรณศิลป์  นวนิยายเรื่อง  เสือเพลินกรง  จึงได้รับการตัดสินให้ได้รับรางวัลชนะเลิศ  รางวัลเซเว่นบุ๊คอวอร์ด  ประจำปี  2553

บุษบาเร่ฝัน

ความทุกข์ที่กัดกร่อนใจมนุษย์อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันคือความอิจฉา มนุษย์ส่วนใหญ่ม้กไม่พอใจในสิ่งที่ตนเองมีและเป็น “ร่มแก้ว” นำเสนอความคิดนี้ผ่านหญิงสาวคนหนึ่งที่ไม่มีอะไรโดดเด่นไม่ว่าหน้าตา การเรียน  ความสามารถในการทำงาน เธอกลืนหายไปในหมู่ผู้คน เธอมักคิดเปรียบเทียบตนเองกับคนอื่นอยู่เนือง ๆ และเฝ้าฝันแต่เพียงว่าเธอจะเป็นเช่นนั้นบ้างเพราะเธอรู้ตัวดีว่าไม่อาจปรับบุคลิก เปลี่ยนนิสัย รื้อภูมิหลัง หยิบฉวยพรสวรรค์ของใครมาเป็นของตนเองได้ นอกเสียจากว่าปาฏิหาริย์จะบังเกิด เหมือนชะตากรรมเล่นตลก สิ่งสมมติในใจเธอกลับเป็นจริง เธอสวมชีวิตของคนอื่นที่เอาเข้าจริง ๆ แล้วก็ไม่ได้หรูเลิศวิไลดังในความฝัน ทุกชีวิตล้วนมีปัญหา มีความลับที่ซ่อนเร้นมีทุกข์ที่แบกไว้ซึ่งผู้อื่นไม่เคยล่วงรู้ ในร่างของคนอื่น เธอได้มองตัวเองและเห็นชีวิตที่ผ่านมาซึ่งอาภัพและอับโชค ว่าช่างดีเสียยิ่งกว่าชีวิตของคนอื่นที่เธอเคยอิจฉา เธอเคยมองข้ากระทั่งความรักความปรารถนาดีของผู้คนที่รายร้อม เฝ้าครุ่นคิดแค้นเคืองโชคชะตา แต่แล้วในที่สุดโชคชะตาก็กลั่นแกล้งเธอ “ร่มแก้ว” สามารถนำเสนอชีวิตของผู้หญิงสี่คนสี่แบบได้อย่างมีมิติ ทุกคนมีทุกข์ที่ต้องทน มีฝันที่ต้องก้าว มีความรักที่อยากครอบครอง “สลับร้างสร้างเรื่อง” ไม่ใช่กลวิธีใหม่ แต่ “ร่มแก้ว” สามารถใช้กลวิธีนี้ดำเนินเรื่องอย่างน่าติดตาม และคนอ่านเอาใจช่วยให้ปาฏิหาริย์บังเกิดแม้จวนเจียนจะหมดหวัง ราวกับแฝงนัยว่าการเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเราเป็นเรื่องยาก แต่การหวนกลับมาเป็นตัวเราที่เปลี่ยนไปเป็นคนอื่นแล้วแสนลำเค็ญเสียยิ่งกว่า สารของเรื่องนี้ชวนให้ฉุกคิดย้อนทบทวนมองหาความสามารถที่ไม่เคยรู้ตัวว่ามี ให้ภูมิใจในตัวเอง รักในสิ่งที่มี เห็นคุณค่าในสิ่งที่เป็น เพราะนั่นคือพรอันประเสริฐยิ่งที่มนุษย์พึงมอบให้แก่ตนเอง คณะกรรมการตัดสินประเภทนวนิยาย รางวัลเซเว่นบุ๊คอวอร์ด ประจำปี พ.ศ. 2554 ลงมติให้นวนิยายเรื่องบุษบาเร่ฝันได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2

โลกประหลาดในประวัติศาสตร์ความเศร้า

ศิริวร  แก้วกาญจน์  สร้างสรรค์นวนิยายเรื่องโลกประหลาดในประวัติศาสตร์ความเศร้า โดยนำเสนอประเด็นเนื้อหาในระดับมหาภาค  นั่นคือการทำล้างเผ่าพันธุ์ที่ผู้มีอำนาจกระทำต่อชนกลุ่มน้อย การต่อสู้กับอำนาจเผด็จการทหารเพื่อสิทธิ เสรีภาพและประชาธิปไตย และอำนาจทุนนิยมที่ฉกฉวยประโยชน์ทุกวิธีแม้กระทั่งจุดไฟสงคราม เรื่องราวของกระเหรี่ยงอพยพหนีทหารพม่าที่ปล้น ฆ่า ข่มขืน บ้านเรือนถูกเผา ครอบครัวกระเจิดกระเจิงพลัดพราก และเรื่องราวของนักศึกษาพม่าที่หลบหนีลี้ภัยจากการกวาดล้างของรัฐบาลทหารมาใช้ชีวิตในค่ายอพยพและเมืองเล็กบริเวณตะเข็บชายแดนไทย-พม่า รวมทั้งเรื่องราวชองประชาชนพม่าที่ถูกกดขี่รังแกต้องหลบซ่อนในป่าเป็นผู้ลี้ภัยในประเทศของตนเอง ถูกถ่ายทอดในนวนิยายชื่อยาวนี้ด้วยเทคนิควิธีต่าง ๆ ได้แก่ การเล่าเรื่องตัดสลับไปมาที่ทำให้เวลาเลื่อนไหลอยู่ระหว่างอดีตกับปัจจุบัน การใช้ภาพเหนือจริง การแทรกตำนานและนิทานพื้นบ้าน เรื่องราวของคนชายขอบ นัยเปรียบเทียบระหว่างความทุกข์เศร้าส่วนตัวกับความทุกข์เศร้าของมนุษยชาติ และการใช้รูปแบบของนวนิยายที่แทรกด้วยบันทึกส่วนตัวของตัวละครผู้เล่าเรื่อง ซึ่งเป็นการสร้างเรื่องเล่าคู่ขนาน 2 เรื่อง เพื่อทำลายนิยามของนวนิยายตามขนบเดิม กลวิธีทางวรรณศิลป์ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ทำให้นวนิยายเรื่องนี้เป็นวรรณกรรมสร้างสรรค์ที่มีลักษณะของคตินิยมหลังสมัยใหม่ (post-modernism) อันเป็นพัฒนาการของวรรณกรรมไทยร่วมสมัย ความโดดเด่นของนวนิยายเรื่องโลกประหลาดในประวัติศาสสตร์ความเศร้าอยู่ที่การสร้างบรรยากาศของความเศร้าที่กัดกินใจของผู้อ่าน แววตาหม่นมัว ใบหน้าโศกหมอง น้ำตาที่ต้องกักกั้นกันไว้ในอกเพื่อไม่ให้ความเศร้าแพร่ออกไปสู่ผู้อื่นเหมือนโรคระบาด ความหวาดกลัว หวั่นระแวง ที่เกาะกุมใจจนแทบไม่อาจควบคุมสติ ลมหายใจแห่งความหม่นหมอง มืดมน มัวซัว สลดหดหู่ ไร้ความหวัง ระบาดอยู่แทบทุกบรรทัด ผู้อ่านจึงได้ซึมซับความรู้สึกสูญเสียของคนที่ถูกปล้นชิงทรัพย์สิน และความเป็นคน และเศร้าสร้อยไปกับความเจ็บปวดของคนพลัดถิ่นที่มี่แผ่นดินใต้ฝ่าเท้าให้เหยียบยืน นวนิยายเรื่องนี้บอกเราว่า ยิ่งโลกก้าวรุดไปข้างหน้า มนุษย์ก็ยิ่งถอยห่างจากความรัก ความดีงาม ความเข้าใจเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกันซึ่งเคยหลักรากอยู่ในจารีตวัฒนธรรมเก่าแก่มากยิ่งขึ้น นวนิยายเรื่องโลกประหลาดในประวัติศาสตร์ความเศร้าจึงสมควรได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 รางวัลเซเว่นบุ๊คอวอร์ด ประจำปี 2554

น้ำเล่นไฟ

นวนิยายเรื่องน้ำเล่นไฟของกฤษณา อโศกสิน นำเสนอคุณค่าของอาชีพเกษตรกรรม ผ่านเรื่องราวของครอบครัวเกษตรกรหัวก้าวหน้าไปพร้อมกับครอบครัวเศรษฐีเจ้าของตลาดสดสมัยใหม่  ทั้งสองครอบครัวมีลักษณะที่เหมือนกันคือประกอบอาชีพด้วยจิตใจมุ่งมั่น ขยันขันแข็ง อดทน และดำรงตนด้วยความซื่อสัตย์ อดออม ประกอบกับใช้สติปัญญาความรู้ที่สืบทอดจากภูมิปัญญาดั้งเดิมของบรรพบุรุษ และนำแนวพระราชดำริเรื่องเกษตรทฤษฎีใหม่และหลักเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการทำมาหาเลี้ยงชีพและดำรงตน ให้พอดี พอประมาณ และพอใจ อันสร้างความสุขแก่บุคคลและสังคมอย่างยั่งยืน เส้นทางของเกษตรกรผู้ผลิตสินค้าคุณภาพ ปลอดสารพิษ ที่ใส่ความรักความอาทรลงในทุกพืชผลและพื้นดิน รับผิดชอบต่อชีวิตและสิ่งแวดล้อม จึงมาบรรจบกับนายทุนเจ้าของตลาดผู้มีเจตนารมณ์ในการจำหน่ายสินค้าดี สร้างเสริมคุณภาพชีวิตแก่ผู้บริโภค พร้อมกับดำเนินธุรกิจของตนให้เป็นตลาดสดครบวงจรที่สะอาด สะดวก ปลอดภัย เป็นธรรม และเป็นมิตรทั้งผู้ขายและผู้ซื้อ นายทุนและเกษตรกรดูเหมือนจะเป็นคู่ตรงข้าม โดยฝ่ายหนึ่งเป็นผู้เอาเปรียบ อีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้เสียเปรียบ แต่ในนวนิยายเรื่องนี้ ผู้ประพันธ์แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่แลดูเหมือนอยู่คนละขั้ว คนละฝ่าย อาจจะไม่ใช่สิ่งที่แย้งกัน หากแต่อาจจะเป็นสิ่งที่เสริมให้อีกฝ่ายหนึ่งโดดเด่นขึ้นเมื่อความสัมพันธ์นั้นเดินไปตามธรรมะ ตามธรรมชาติ น้ำเป็นสิ่งที่อยู่ตรงข้ามกับไฟ หากแต่แสงเจิดจ้าของไฟที่ส่องกระทบน้ำทำให้เกิดประกายระยิบระยับ คลื่นน้ำและแสงไฟจึงเล่นล้อกันไปมาเป็นภาพงดงามจับใจ ดังข้อความที่ผู้ประพันธ์บรรยายไว้ว่า “เมื่อยามลมพันมาพาเอาระลอกน้ำในนากุ้งแล่นละลิ่วพลิ้วตามกัน ครั้นกระทบแสงอาทิตย์อันกราดกล้า ก็ยิ่งสะท้อนประกายพาให้น้ำระยิบระยับจับนัยน์ตามจำเริญใจ” ดังนั้น นวนิยายเรื่องน้ำเล่นไฟจึงเสนอให้เห็นว่านายทุนเกษตรกรต่างต้องพึ่งพาเกื้อกูลส่งเสริมซึ่งกันและกัน อันเป็นการดำเนินเศรษฐกิจแบบสร้างสรรค์ โดยมีเป้าหมายในการส่งเสริมคุณภาพของชีวิต คุณภาพของสังคม คุณภาพของประเทศชาติ และคุณภาพของประชาคมโลกในที่สุดถึงแม้ว่านวนิยายเรื่องนี้จะนำเสนอประเด็นทางสังคมที่หนักหน่วง แต่ผู้ประพันธ์ก็มิได้ละเลยเสน่ห์ของนวนิยายที่ชวนอ่านด้วยการสร้างปมขัดแย้งในครอบครัว ปมขัดแย้งในใจของตัวละคร และความไม่ลงรอยกันของตัวละครคู่เอก ซึ่งในที่สุดก็คลี่คลายลงด้วยดี เพราะมีความรักและอุดมคติไปในทิศทางเดียวกัน ด้วยเหตุที่นวนิยายเรื่องน้ำเล่นไฟมีความโดดเด่นในด้านเนื้อหาแนวคิดที่สร้างสรรค์ การสร้างตัวละครที่มีชีวิตชีวา การนำเสนอรสอารมณ์ที่บันเทิงใจ ภาษาและกลศิลป์ที่เนียนงามด้วยฝีมือของผู้ประพันธ์ที่ได้รับการเชิดชูเกียรติเป็นศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ คณะกรรมการจึงมีมติให้นวนิยายเรื่องนี้ได้รับรางวัลชนะเลศ รางวัลเซเว่นบุ๊คอวอร์ด ประจำปี 2554

ในอ้อมกอดกาลี

นวนิยายเรื่องนี้แสดงความร่วมสมัยด้วยการสะท้อนภาพสังคมไทยในปัจจุบันที่ทุกจุดและทุกส่วนกำลังจ่อสู่ปัญหา   ผู้เขียนสร้างตัวละครชุดหนึ่งขึ้นมาเป็นตัวแทนของบุคคลในกลุ่มปัญหาเหล่านั้น  อันได้แก่ วัยรุ่นที่สถาบันครอบครัวล่มสลาย  นายทุนผู้ล้มเหลวในธุรกิจและชีวิต   ข้าราชการตกอยู่ในร่างแหอันยุ่งเหยิงของการใช้อำนาจ  และชาวบ้านผู้งมงายและยากแค้นอยู่กับการหาเช้ากินค่ำ   ตัวละครเหล่านี้ต่างถูกครอบงำด้วยกลไกอำนาจรัฐ   อำนาจทุนนิยมและอำนาจธรรมชาติ  ราวกับถูกโอบล้อมไว้ด้วยอ้อมกอดกาลี  ทางแก้ทางเดียวที่ผู้เขียนเห็น  แต่สิ้นหวังเสียแล้วในเรื่องนี้ก็คือ ความรักที่มนุษย์พึงมีต่อกัน   ความโดดเด่นของเรื่องนี้ไม่เพียงแต่อยู่ที่ความเข้มข้นของเนื้อหาความจริงอันน่าตระหนกตกใจ  แต่ยังอยู่ที่กลวิธีของนวนิยายคล้ายสืบสวนสอบสวนแต่กลับปิดฉากด้วยปรากฏการณ์ธรรมชาติได้อย่างสมจริงและสะท้านใจ  

ในรูปเงา

นวนิยายเล่มบางเรื่องในรูปเงา ของ เงาจันทร์  ผูกเรื่องจากปมของความรักและความแค้นอันเป็นกิเลสสำคัญที่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตมนุษย์จากหน้ามือเป็นหลังมือ   นวนิยายเรื่องนี้ใช้โครงเรื่องตามขนบที่นิยมกันแบบหนึ่ง คือ โครงเรื่องรักสามเส้า  ซึ่งมี 2 วงเหลื่อมซ้อนกัน  วงแรกคือความรักของพร้อม พลิ้ว และเจ้าดอกรุงรัง  ซึ่งเป็นวัวที่พร้อมซื้อมาให้พลิ้วเลี้ยงตั้งแต่ยังเล็ก  แต่เขาเคยเขียนตีมันอย่างรุนแรงเพื่อระบายความเจ็บแค้นในใจ  เจ้าดอกรุงรังจึงอาฆาตแค้นพร้อมไม่รู้เลิกรา  พลิ้วจึงมีทั้งความรักและความแค้นให้เจ้าวัวเลี้ยงของตนไปพร้อม ๆ กัน  รักสามเส้าวงที่สองคือความรักของพร้อม พลิ้ว และว่าน  พลิ้วรักว่าน แต่ว่านรักพร้อม  ส่วนพร้อมก็รักลูกชายของตนจึงยอมเก็บงำความลับเร้นเอาไว้  เมื่อพลิ้วล่วงรู้โศกนาฏกรรมจึงเกิดขึ้น   เจ้าดอกรุงรังและว่านจึงพรากพร้อมและพลิ้วให้จากกันชั่วนิรันดร์กาล นวนิยายเรื่องนี้เป็นงานวรรณศิลป์ที่นำเสนอเรื่องเสน่หาอารมณ์อันเป็นธรรมชาติของสรรพสัตว์  นอกจากความรักความใคร่ของมนุษย์แล้ว  ฉากของวัวหนุ่มกับวัวสาวที่กำลังติดสัด  จริตของวัวสาวที่เย้ายวนวัวหนุ่มที่มันหมายปอง  วัวสาวใจเสรีที่เลือกวัวหนุ่มแปลกหน้ามากกว่าวัวหนุ่มในฝูง  ฉากหึงหวงของเหล่าวัวหนุ่มกลัดมันที่กลุ้มรุมทำร้ายวัวต่างถิ่นที่ได้ใจวัวสาวไปครอง  ฉากอันน่าตื่นเต้นระทึกใจเหล่านี้ล้วนเป็นภาพสะท้อนของพฤติกรรมมนุษย์อย่างแยบคาย   ดังนั้น เหล่าวัวในท้องทุ่ง  โดยเฉพาะเจ้าดอกรุงรัง  จึงไม่ใช่เป็นเพียงสัตว์เลี้ยงประกอบฉากทุ่งนา  หากแต่เป็นเงาสะท้อนกลับไปกลับมาระหว่างธรรมชาติสัตว์กับธรรมชาติมนุษย์   โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฉากจบของเรื่อง  การชำระแค้นตามสัญชาตญาณของสัตว์ที่ถูกทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส  กับการคุมแค้นของมนุษย์จนสามารถปล่อยให้ความตายเกิดขึ้นต่อหน้าต่อหน้าโดยไม่แยแส  กลมกลืนรวมเป็นเนื้อเดียวกันจนไม่มีอะไรแตกต่าง ไม่ว่าคนหรือสัตว์ล้วนมีความดิบ เถื่อน ของสัญชาตญาณมืด  ซึ่งหากขาดการควบคุมเสียแล้ว  มนุษย์ผู้ประเสริฐก็ไม่ต่างจากสัตว์เดรัจฉาน เพียงวาบเดียวของโทสะจริต ก็สามารถทำลายความรักและบุคคลที่รักได้หมดสิ้น  นวนิยายเรื่องนี้จึงเป็นโศกนาฏกรรมที่บีบหัวใจผู้อ่านไม่แพ้นวนิยายรักคลาสสิกในอดีต ความรัก ความแค้น ความสวยงาม  ความโหดร้าย  ความนุ่มนวล  ความดิบเถื่อน  ต่างสอดร้อยกันไปมาอยู่ในพฤติกรรม  ในอารมณ์ของมนุษย์และสัตว์  ในสีสันของต้นไม้ ดอกไม้ ของฝูงแมงปอริมคลองอันร่มรื่น   ในรูปเงาที่เต้นไหวอยู่บนรั้วขัดแตะ  เป็นองค์ประกอบที่จัดวางไว้ลงตัว ไม่ขาดไม่เกิน และหนุนส่งให้เรื่องราวในนวนิยายดำเนินไปอย่างมีพลังอารมณ์เข้มข้น ในรูปเงา เป็นนวนิยายที่สามารถตรึงผู้อ่านไว้กับตัวหนังสือตั้งแต่หน้าแรกไปจนหน้าสุดท้าย  ระหว่างที่อ่านจะรู้สึกว่าเส้นประสาทกล้ามเนื้อขมวดเขม็งบิดเกลียวอยู่ข้างใน  ใจเต้นระทึกตึกตัก  บางครั้งรู้สึกเหมือนลืมหายใจ จนต้องระบายลมหายใจเฮือกใหญ่ที่กลั้นไว้อย่างไม่รู้ตัวเมื่อปิดหน้าหนังสือลง

โถงสีเทา

หากเปรียบชาตกรรมเป็นสีขาว ซึ่งหมายถึงจุดเริ่มต้นอันสว่างไสวของการเกิดและมรณกรรมเป็น  สีดำ ซึ่งหมายถึง การดับวูบของแสงแห่งชีวิตไปสู่ความมืดมนอนธกาลของเขตแดนแห่งการไม่หวนคืน       สีเทาที่อยู่ระหว่างภาวะแห่งการเปลี่ยนผ่านนี้ คงได้แก่ ความเจ็บไข้จากโรคาพยาธิและการเสื่อมไปของสังขาร ภายใน “โถงสีเทา” ซึ่งเป็นฉากหลักของนวนิยายชื่อเรื่องเดียวกันนี้   ผู้เขียนคือ “เข็มพลอย” ได้นำขั้วตรงข้ามหลายขั้ว   ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นสีดำ-สีขาวมาเผชิญหน้ากัน   บางครั้งนำมาผสมผสานกันจนเป็นสีเทา   หลายครั้งได้สลายขั้วตรงกันข้ามนั้นและคลี่คลายไปสู่ความเข้าใจร่วมกัน ผู้เขียนได้หยิบยื่นพื้นที่อันเท่าเทียมกันให้แก่ตัวละครหลัก 2 กลุ่มคือแพทย์และผู้ป่วยได้เปล่งเสียงของตนออกมา  ผู้ป่วยโรคมะเร็งต้องต่อสู้ระหว่างความเป็น-ความตาย การรอดชีวิต-การพ่ายแพ้ต่อโรคร้าย รวมถึงชะตากรรมในเงื้อมมือญาติหรือคนในครอบครัวที่เลือกจะดูแลผู้ป่วยด้วยความเข้าใจหรือปล่อยไปตามยถากรรม  ส่วนแพทย์เอง-ได้เผชิญหน้ากับหลายประเด็นที่เป็นกรณีวิพากษ์อันเผ็ดร้อนในสังคม  เป็นต้นว่า จรรยาบรรณของแพทย์ การแปรเปลี่ยนอาชีพอันทรงเกียรติไปในเชิงพาณิชย์  การที่คนไข้หรือญาติคนไข้ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย หรือการร้องเรียนเนื่องจากการรักษาบกพร่อง จุดเด่นจุดด้อยของโรงพยาบาลรัฐ และโรงพยาบาลเอกชน ซึ่งครอบคลุมถึงการบริหารจัดการระบบสาธารณะสุขโดยรวม-มุมมองด้านลบต่อสถาบันการรักษาพยาบาล ได้รับการทำให้สมดุลผ่านทัศนะและภาพการทำงานของแพทย์กลุ่มหนึ่งที่ยังคงรักษาอุดมคติในการอุทิศตนให้แก่การผดุงชีวิตมนุษย์   ผู้อ่านได้เห็นภาพและเกิดความเข้าใจในการทำงานและสภาพจิตใจของคนทั้งสองฝ่ายเป็นอย่างดี ท่ามกลางการชักเย่อระหว่างความเป็นและความตายในห้องโถงสีเทาอันเคร่งเครียด  ผู้แต่งบรรเทาความหดหู่ของผู้อ่านด้วยการสอดแทรกสุนทรียะทางดนตรีเติมแต้มไปในฉากต่าง ๆ  เพื่อให้เห็นว่าในท่ามกลางความเศร้าหมองเป็นทุกข์ของผู้ป่วยไข้และเหล่าญาติ  ยังมีมิตรอารีผู้ให้กำลังใจด้วยเสียงดนตรี  และด้วยการช่วยเหลือให้คำแนะนำ   นอกจากนี้  ผู้เขียนไม่บกพร่องในการนำเสนอความเป็นนิยายที่ชวนติดตาม ผ่านความรักของหนุ่มสาวสองคู่ซึ่งมีปัญหาหนักที่ต้องตัดสินใจเพื่อหาทางออกที่ดีที่สุดสำหรับการครองชีวิตคู่    อันทำให้ โถงสีเทา เป็นนวนิยายที่มีสมดุลระหว่างการนำเสนอความจริงของชีวิตและสังคมกับความเป็นนวนิยายที่อ่านแล้วรื่นรมย์ใจ

เรื่องเล่าในโลกลวงตา

เรื่องเล่าในโลกลวงตา ของพิเชษฐ์ศักดิ์  โพธิ์พยัคฆ์ เป็นนวนิยายอธิบายสภาวะในจิตใจของมนุษย์อย่างประณีตและละเอียดลออ ผ่านเรื่องเล่าของชายผู้หนึ่งที่คนรักถูกงูกัดตาย ผู้เขียนสามารถสะท้อนภาวะทางอารมณ์ได้ตั้งแต่สุดโศกเศร้าอาดูร เสียดาย ไปจนกระทั่งถึงบ้าคลั่งเคียดแค้นแสนสาหัส และพัฒนาความแค้นนั้นไปสู่ความแกร่งกล้าทางกายและทางใจอันนำไปสู่จุดสูงสุดของการเรียนรู้ ความเป็นมายาและอนิจจังซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนพลิกผันนำไปสู่ความเข้าใจชีวิตอันจริงแท้ และสงบลงได้ในที่สุด แม้เป็นนวนิยายขนาดสั้น ตัวละครน้อยแต่เนื้อสารลึกซึ้ง ภาษางดงามทำให้เกิดจินตภาพ

รุสนี

มนตรี ศรียงค์ ได้ประมวลเอาความรู้สึกจากปัญหาความขัดแย้งและความรุนแรงอันยืดเยื้อในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้มาสร้างสรรค์เป็นนวนิยายเรื่อง รุสนี ผู้เขียนเล่าเรื่องสะเทือนอารมณ์ฯผ่าน รุสนี และ เยาะยาห์ ชาวไทยมุสลิมจากการเป็นผู้เฝ้ามอง จนเป็นผู้ถูกกระทำเสียเอง แม้ย้ายออกนอกพื้นที่ความขัดแย้งทางการเมือง แต่ก็ยังพบกับปัญหาสังคมอื่น ๆ อีก ไม่ว่าจะได้รับความช่วยเหลือจากไทยมุสลิมหรือไทยพุทธ ปัญหาก็ไม่อาจคลี่คลายลงได้ ความเกลียดชังบ่มเพาะมาจากความหวาดระแวง และความหวาดระแวงส่งผลให้เกิดความเกลียดชังหนักยิ่งขึ้นไปอีก ความเกลียดชังยังนำไปสู่ความรุนแรง และความรุนแรงก็ยิ่งทำให้ความเกลียดชังกันมากขึ้น วงจรอุบาทว์นี้ทับซ้อนจนยากจะแยกออกจากกันได้ สันติจึงไม่อาจเกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง มนตรี ศรียงค์ สามารถนำเสนอให้ผู้อ่านสะเทือนอารมณ์ไปกับชะตากรรมของตัวละครโดยมิได้พิพากษาหรือมีทีท่าโน้มเอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง และทิ้งสารอันหนักหน่วงไว้ให้ผู้อ่านคิดต่อ

เสือล่องวารี

เสือล่องวารี นวนิยายของอุเทน วงศ์จันดา นำเสนอเรื่องราวของการดูแลรักษาป่าไม้ของชุมชน เน้นการพึ่งพาเอื้อเฟื้อกัน การมีส่วนร่วม การเคารพธรรมชาติ  การดูแลสิ่งแวดล้อม การต่อต้านกระแสทุนนิยมและบริโภคนิยมซึ่งทำลายทั้งธรรมชาติ คุณภาพชีวิตและวัฒนธรรม ผู้เขียนใช้กลวิธีให้แต่ละบทมีผู้เล่าเรื่องต่างกันไป เรื่องจากผีนางตะเคียนทอง หลวงพ่อ ผู้ใหญ่บ้าน คนขุดเรือ คนพายเรือ คนปลูกต้นไม้ ทำให้ผู้อ่านรับรู้เรื่องราวชีวิตของผู้เล่าเรื่องและเรื่องราวของชุมชนไปพร้อมกัน นวนิยายเรื่องนี้มีแนวเรื่องแบบสัจนิยมมหัศจรรย์ (Magical Realism) แสดงสีสันท้องถิ่นด้วยตำนาน ความเชื่อ สิ่งลี้ลับ และให้บรรยากาศของความเป็นไทยที่มีความเชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติไปพร้อมกับศรัทธาในพระพุทธศาสนา พระและผีจึงเป็นพลังหลอมรวมจิตใจของชาวบ้าน และเมื่อผนึกกำลังกับผู้นำชุมนที่มุ่งมั่นทำดี จึงเป็นไตรภาคที่พัฒนาท้องถิ่นให้เข้มแข็ง ผู้เขียนแสดงให้เห็นว่าความศรัทธาสามารถเปลี่ยนสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้ให้เป็นไปได้ ดังนั้น การปลูกป่าเพื่อคืนกลับความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติให้แก่ผืนโลก แม้จะเป็นเรื่องยาก แต่ก็สามารถทำให้สำเร็จได้

ไส้เดือนตาบอดในเขาวงกต

        “ไส้เดือนตาบอดในเขาวงกต” ของ วีรพร  นิติประภา  เป็นนวนิยายที่กล่าวถึงชีวิตของเด็กหญิงและเด็กชายกำพร้า 3 คนคือ  ชาลิกา  ชารียา  และปราณ  ใช้ชีวิตในวัยเด็กอย่างอบอุ่นที่บ้านสวนริมแม่น้ำนครชัยศรี  ครั้นโตขึ้นเป็นหนุ่มสาวก็แยกย้ายมาใช้ชีวิตของตนเองในกรุงเทพมหานครสลับกับบ้านเกิดเป็นครั้งคราว  ชีวิตช่วงนี้พวกเขาต้องประสบกับปัญหาเรื่องความรักและความขัดแย้งทางอารมณ์  ชีวิตจึงมีแต่ความอ้างว้าง ขมขื่น  โดดเดี่ยว  เดียวดาย  จวบจนวาระสุดท้ายของชีวิต    ตัวละครอื่น ๆ ที่คนทั้งสามเกี่ยวข้องสัมพันธ์ด้วยล้วนแต่ประสบกับชาตะกรรมชีวิตที่เลวร้ายหรือ “ถูกชีวิตทรยศ” ทั้งสิ้น ไม่ว่าธนิตผู้หลงใหลคลั่งไคล้ผ้าโบราณ ธนานักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย   นทีผู้สร้างภาพให้ตนเองดูเป็นชายที่มีเสน่ห์ ภัทรนักดนตรีร็อค  และนวลหญิงที่มีสามีสามคนพร้อมกัน เสน่ห์ของนวนิยายเรื่องนี้อยู่ที่ความเข้มข้นทางอารมณ์ของตัวละครที่เกิดจากกลวิธีการประพันธ์ที่ผสมผสานแนวสัจนิยมและจินตนิยายเข้าด้วยกันอย่างกลมกลืน การเสพสุนทรียะอย่างวิจิตรของตัวละคร ผ่านสีสันของสวนดอกไม้  อวลไปด้วยเสียงไพเราะของดนตรีคลาสสิค ความงดงามของผ้าโบราณ และรสชาติอาหารที่ชวนลิ้มลอง ส่งผลให้ตัวละครเสพชีวิตอย่างสุดโต่งด้วยรสอารมณ์มากกว่าคำนึงถึงตรรกะของเหตุและผล ผู้เขียนสามารถพรรณนาความรู้สึกทุกภาวะอารมณ์ของตัวละครได้อย่างลุ่มลึก ตัวอักษรบีบคั้นกดดันอารมณ์ผู้อ่านร่วมไปกับตัวละครทุกบททุกตอน นวนิยายเรื่องนี้เป็นบันเทิงคดีร่วมสมัยของไทยที่แหวกขนบ มุ่งสะท้อน “มลพิษของความรัก” ผู้เขียนวิพากษ์วิจารณ์ปมปัญหาความรักได้อย่างลึกซึ้งแยบยล  โดยชี้ให้เห็นอีกด้านหนึ่งของความรักว่าคือมายาคติที่มนุษย์ลุ่มหลงและมัวเมา  มายาคติแห่งรักสร้างความซาบซึ้งตรึงใจและความเจ็บปวดรวดร้าวซ้ำแล้วซ้ำเล่า  กระนั้นผู้คนก็ยังคงดิ้นรนโหยหาความรักอยู่ดี  แม้บางครั้งมิอาจพานพบรักแท้ได้ในชีวิตจริง  ดุจเดียวกับ “ไส้เดือนตาบอดในเขาวงกต” ที่หาทางออกไม่พบ คณะกรรมการรางวัลเซเว่นบุ๊คอวอร์ดประเภทนวนิยายจึงมีมติให้ “ไส้เดือนตาบอดในเขาวงกต”  ของ วีรพร นิติประภา เป็นนวนิยายที่สมควรได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ประเภทนวนิยาย ประจำปี 2557